posttoday

ระบบการส่งเสริม การเกษตรยุคใหม่ในมาเลเซีย

14 ตุลาคม 2561

จากการเข้าร่วมการประชุม InternationalWorkshop on Fostering Increased Engagement and Capacitating Youth on Agri-Entrepreneurship

โดย เดชรัต สุขกำเนิด คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

จากการเข้าร่วมการประชุม InternationalWorkshop on Fostering Increased Engagement and Capacitating Youth on Agri-Entrepreneurship ระหว่างวันที่ 2-4 ต.ค. 2561 ที่ประเทศมาเลเซียทำให้เห็นว่า ระบบการส่งเสริมการเกษตรมีการปรับเปลี่ยนไปเป็นระบบการส่งเสริมการเกษตรแบบพี่เลี้ยงเป็นหลัก

เหตุที่ต้องปรับระบบการส่งเสริมการเกษตร เพราะความหลากหลายในการวางแผนการผลิตและการตลาดของแต่ละฟาร์ม/แต่ละสินค้ามีมาก รวมถึงการแข่งขันที่เข้มข้น และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ทำให้การให้คำแนะนำ/การส่งเสริมการเกษตรแบบเหมารวม ดูจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป

ตัวอย่างที่ผมได้ไปดูงานระบบการส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ของมาเลเซียที่ฟาร์มพริก ของคุณชากราน บิน ชามสุดิน ในรัฐเซลังงอร์ มาเลเซีย พื้นที่ที่ไปเยี่ยมชมเป็นแปลงสาธิตของสมาคมเกษตรกรผู้ปลูกพริกของมาเลเซีย ที่ดินแปลงนี้เป็นของรัฐ และสมาคมเกษตรกรสามารถไปขอใช้เพื่อทำแปลงสาธิตได้เป็นเวลา 2-3 ปี โดยมีเจ้าหน้าที่ของสถาบันวิจัยและพัฒนาการเกษตรแห่งมาเลเซียมาร่วมวางแผนและส่งเสริมการเกษตรด้วย

ที่ดินแปลงนี้มีเกษตรกรรุ่นใหม่ 9 ราย (ในมาเลเซียจะใช้เกณฑ์เกษตรกรที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี) มาทำงานร่วมกันในแปลงเดียว แต่ละรายปลูกพริก 2,000 ถุงพลาสติก/ฟาร์ม (ปลูกถุงละต้น) รวมทั้งหมด 1.8 หมื่นถุง

จุดเด่นของฟาร์มสาธิตแห่งนี้คือ ระบบให้น้ำเป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด โดยควบคุมปริมาณและคุณภาพน้ำและปุ๋ยด้วย ระบบการให้น้ำและปุ๋ยสามารถควบคุมทางอินเทอร์เน็ต โดยเกษตรกรจะทราบข้อมูลการปลูก ข้อมูลน้ำ/ความชื้น/อุณหภูมิ ข้อมูลปุ๋ยและปริมาณการใช้ปุ๋ย ระยะเวลาที่จะเก็บเกี่ยว รวมถึงระบบเตือน และสามารถสั่งการให้น้ำทางโมบายโฟนได้เลย เกษตรกรจะประหยัดเวลาได้ 2 ชั่วโมง/วัน และในรอบแรกที่ผ่านมา ผลผลิตเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเปรียบเทียบกับฟาร์มทั่วไป

การปลูกพริกในระบบนี้จะใช้เวลา 5-6 เดือน/รอบ โดยแต่ละถุง (หนึ่งต้น) จะได้ผลผลิต 2 กก./รอบ ตอนนี้ที่ไปชมเป็นการปลูกรอบที่ 2 โดยรอบแรกได้ผลผลิตทั้งหมด 36 ตัน ต้นทุนค่าปัจจัยการผลิตทั้งหมด 4 ริงกิต/ถุง/รอบ โดยสมาคมเกษตรกรจะจัดหาปัจจัยการผลิตให้ทั้งหมด

ในการเพาะปลูก เกษตรกรจะมีระบบการลงบันทึกรายการข้อมูลรายวัน ตามที่กำหนดไว้ SOP (Standard of Procedures) และเกษตรกรต้องส่งรูปภาพของต้นพริกในฟาร์มทุก 2 วัน ผ่านทางโปรแกรม what’s app ในกรณีที่มีปัญหาจะมีทีมงานทางเทคนิคตอบคำถามเกษตรกรตลอด 24 ชั่วโมง และสุดท้ายจะมีนักเทคนิคแวะลงไปตรวจในฟาร์มแต่ละฟาร์มด้วย

รอบที่ผ่านมา เกษตรกรขายพริกได้ราคาเฉลี่ย 7 ริงกิต/กก. (หรือประมาณ 56 บาท/กก.) รวมพริกหนึ่งต้นมีรายรับ 14 ริงกิต/ต้น/รอบ คำนวณกำไรประมาณ 10 ริงกิต/ต้น หรือเกษตรกรแต่ละคนมีรายได้สุทธิประมาณ 2 หมื่นริงกิต/รอบ/ราย (1.6 แสนบาท/รอบ)

รอบที่ 2 เกษตรกรหวังจะได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และหลังจากนั้น เกษตรกรจะแยกย้ายไปทำฟาร์มของตนเองต่อไป และก็จะมีเกษตรกรรายใหม่เข้ามาเรียนรู้ต่อ วิธีการทำแปลงสาธิตแบบนี้ ภาครัฐของมาเลเซียบอกว่าได้ผลดีกว่า เพราะมาดูแลที่จุดเดียว และทำให้เกษตรกรเห็นผลลัพธ์ด้วยตนเอง

ในการรวบรวมพริก สมาคมเกษตรกรจะมีศูนย์รวบรวมพริกจากสมาชิก (ทั้งประเทศประมาณ 500 ราย) และจะรวบรวมพริก 3 ครั้ง/สัปดาห์ (จันทร์ พุธ ศุกร์) แต่ละวันจะรวบรวมพริกได้ประมาณ 7 ตัน/วัน โดยเกษตรกรแต่ละรายมีการกำหนดตารางการเก็บเกี่ยวและการขายไว้ชัดเจน ผ่านทางแอพพลิเคชั่น และจะจ่ายเงินวันถัดไป นอกจากพริก ทางศูนย์ฯ ก็จะรวบรวมขิง ข่า ขมิ้น แตงกวา และข้าวโพดหวาน ด้วยเนื่องจากราคาพริกมีความผันผวนมาก ตามปริมาณการนำเข้าพริกจากต่างประเทศ (ส่วนใหญ่คือจีนและเวียดนาม) ทางศูนย์รวบรวมจะนำราคาพริกจากผู้ซื้อแต่ละรายมาเฉลี่ยกัน 20 เซนต์/กก. แล้วประกาศราคาตอน 19.00 น. ของวันจันทร์ในแต่ละวัน

ระบบการส่งเสริม การเกษตรยุคใหม่ในมาเลเซีย

ในแง่ความผันผวนของราคา ราคามักจะต่ำในช่วงเดือน ก.พ. ถึง พ.ค. เนื่องจากมีการนำเข้ามาก ราคาพริกเคยลดลงต่ำสุด 3 ริงกิต/กก. (24 บาท/กก.) และราคาจะสูงในช่วงเดือน ต.ค. ถึง ม.ค. ที่ทางประเทศผู้ส่งออกไม่สามารถผลิตพริกได้มากนัก และราคาพริกเคยขึ้นสูงสุดถึง 20
ริงกิต/กก. (160 บาท/กก.)

กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพริกบอกว่า หากราคาอยู่ที่ 6 ริงกิต/กก. ก็พอรับได้ กลุ่มเกษตรกรจึงรวมตัวกันคุยกับรัฐบาลใหม่ โดยมีข้อมูลปริมาณการผลิตและปริมาณการใช้พริก แต่ละแหล่งประกอบการหารือ และเพิ่งได้ข้อสรุปเป็นมติจากรัฐบาลเมื่อเดือน ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา ว่า (ก) รัฐบาลจะใช้ระบบใบอนุญาตนำเข้า เป็นตัวควบคุมผู้นำเข้า และ (ข) พริกนำเข้าจะให้ใช้สำหรับการแปรรูปเท่านั้น ส่วนตลาดพริกสำหรับการบริโภคในครัวเรือน/ร้านอาหาร จะเป็นพริกของในประเทศมาเลเซีย เท่านั้น

เกษตรกรผู้ปลูกพริก มีความสุขกับข้อตกลงนี้มากครับ เกษตรกรบอกว่า สมาคมเกษตรกรเสนอรัฐบาลสำเร็จเพราะมีข้อมูลยืนยันว่า จะมีผลผลิตเพียงพอสำหรับตลาดการบริโภคในครัวเรือนทั่วไป โดยราคาไม่แกว่งตัวจนเป็นปัญหาสำหรับผู้บริโภคในประเทศ

เท่าที่ผมประมวลได้ การใช้ระบบการส่งเสริมการเกษตรแบบใหม่ต้องเตรียมตัว 5 ส่วนด้วยกันครับ

หนึ่ง ทีมแบ็กอัพด้านข้อมูล/เทคโนโลยีต้องพร้อม และช่วยเสริมการทำงานของพี่เลี้ยงโดยสามารถติดต่อทีมเทคนิคได้ 24 ชั่วโมง

สอง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนในเทคโนโลยีต้องเท่าทันกัน และเป็นไปในทางบวกครับ ทางบวกหมายถึงพร้อมรับนวัตกรรมจากภาคเอกชน แต่ให้มาทำในแปลงทดลองที่มีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมของรัฐบาลเข้าร่วมอย่างใกล้ชิด

สาม ระบบการสนับสนุนโครงการต่างๆ ต้องเป็นระยะยาว อย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป และสามารถดำเนินการได้ตามความพร้อมของเกษตรกรแต่ละราย ไม่ใช่ใช้งบแบบปูพรมและรีบใช้เงินให้หมดเหมือนบางประเทศครับ

สี่ การส่งเสริมยุคใหม่จะให้ความสำคัญกับ Business model ของแต่ละรายมากเลยครับ กล่าวคือทั้งเกษตรกรและพี่เลี้ยงต้องมีความชัดเจนก่อนว่า พืชหรือสัตว์ที่ส่งเสริมไปจะบริหารจัดการการผลิต การตลาด และการแบ่งปันผลประโยชน์กันระหว่างสมาชิกอย่างไร

ห้า ระบบการส่งเสริมการเกษตรต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่ไปทำงานตามโจทย์ของเกษตรกรแต่ละราย/แต่ละกลุ่มครับ ไม่ใช่สั่งให้ไปเอาข้อมูลมารายงานส่วนกลาง หรือให้ทำตามนโยบายเร่งด่วนของส่วนกลาง ไม่เช่นนั้น จะไม่สามารถทำงานเชิงลึกกับเกษตรกรได้เลยครับ

ผมเชื่อว่าถ้ารัฐปรับการทำงานของระบบการส่งเสริมการเกษตรของไทย ภาคการเกษตรของไทยย่อมมีศักยภาพมากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68