posttoday

เรือนจำเชียงใหม่ สถาปัตยกรรม แบบตะวันตกยุคแรกๆ

07 ตุลาคม 2561

หมายเหตุ - เรือนจำเชียงใหม่ : สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยุคแรกๆ ในเมืองเชียงใหม่

โดย นงไฉน ทะรักษา นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ 

หมายเหตุ - เรือนจำเชียงใหม่ : สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยุคแรกๆ ในเมืองเชียงใหม่

โดย น.ส.นงไฉน ทะรักษา นักโบราณคดีปฏิบัติการ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ เสนอในงานเสวนาวิชาการ วิจัยวิจักขณ์ ที่ห้องดอกไม้สด สำนักหอสมุดแห่งชาติ วันที่ 25 ก.ย. 2561

สร้าง พ.ศ. 2459

เรือนจำเชียงใหม่สันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นราวปี 2459-2460 ถูกยกฐานะเป็นเรือนจำเขตเชียงใหม่ เมื่อปี 2502 และเป็นเรือนจำกลางเชียงใหม่ ในปี 2506 จนกระทั่งมีจำนวนนักโทษมากขึ้น เกิดความแออัด จึงใช้คุมขังเฉพาะนักโทษหญิง เปลี่ยนชื่อเป็นทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ และเลิกใช้งานไปในปี 2555

เรือนจำแห่งนี้สร้างขึ้นในบริเวณคุ้มเวียงแก้วของเจ้ากาวิละ เจ้าครองนครเชียงใหม่พระองค์แรกในราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน (พ.ศ. 2285-2358) ซึ่งเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ เจ้าครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 8 (พ.ศ. 2402-2453) มอบพื้นที่นี้ให้แก่ทางการสยาม เพื่อใช้ประโยชน์

อาคารตะวันตกยุคแรก

เรือนจำเชียงใหม่ สถาปัตยกรรม แบบตะวันตกยุคแรกๆ

โดยพื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมืองเชียงใหม่ ค่อนไปทางทิศเหนือ ซึ่งในช่วงต้นของรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรม และมีศาลหัวเมือง ส่งผลให้ระบบยุติธรรมแผ่ไปในเขตหัวเมืองต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม จึงได้มีการก่อสร้างศาลและอาคารในระบบยุติธรรมขึ้นบริเวณกลางเมืองเชียงใหม่นั้น โดยบริเวณที่เป็นส่วนหนึ่งของคุ้มเวียงแก้วของเจ้ากาวิละนั้น เป็นที่ตั้งของเรือนจำเชียงใหม่ ซึ่งก่อสร้างเสร็จสิ้นในปี 2462

ถือเป็นอาคารราชการแบบตะวันตกยุคแรกๆ ของ จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นก่อนศาลาว่าการรัฐบาลและศาลแขวง ซึ่งสร้างขึ้นในปี 2467 และ 2478 ตามลำดับ

อาคารเรือนจำแห่งนี้ เป็นอาคารแบบตะวันตกยุคแรกๆ ที่แผ่เข้ามาถึงเมืองเชียงใหม่ ตามระเบียบอาคารราชการมาตรฐานในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งในรายงานการเสด็จตรวจราชการมณฑลพายัพของพลตรีพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงราชสีมา ได้กล่าวถึงเรือนจำเชียงใหม่ว่ามีความงดงามคล้ายโรงเรียนนายร้อยทหารบกที่ถนนราชดำเนิน

โดยรวมแล้วลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกในสมัยนี้ จะอยู่ในผังสี่เหลี่ยม มีอาคารล้อมรอบลาน ห้องต่างๆ จัดเรียงกันไปตามความยาวของอาคารมีระเบียงทางเดินเชื่อมห้องต่างๆ เข้าด้วยกัน

ชื่ออาคาร 6 หลัง

เรือนจำเชียงใหม่ สถาปัตยกรรม แบบตะวันตกยุคแรกๆ

เรือนจำเชียงใหม่นี้ ปรากฏอาคารก่ออิฐรูปแบบตะวันตก 6 หลัง ดังนี้

1.ที่ทำการทัณฑสถาน อยู่ด้านหน้าติดกับประตูทางเข้าทัณฑสถาน (บริเวณกึ่งกลางของกำแพงทัณฑสถานด้านทิศใต้) เป็นอาคารประธานร่วมกับเรือนเพ็ญ 2.เรือนแว่นแก้ว ตั้งอยู่ขนาบกับอาคารที่ทำการทัณฑสถาน ด้านทิศตะวันออก คู่กับเรือนพยาบาล 3.เรือนบัวบาน ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางพื้นที่ทัณฑสถาน ค่อนมาทางด้านทิศตะวันออก คู่กับเรือนเครือฟ้า 4.เรือนพยาบาล ตั้งอยู่ขนาบกับอาคารที่ทำการทัณฑสถาน ด้านทิศตะวันออก คู่กับเรือนแว่นแก้ว 5.เรือนเครือฟ้า ตั้งอยู่กึ่งกลางพื้นที่ทัณฑสถาน ค่อนมาทางทิศตะวันออก คู่กับเรือนบัวบาน 6.เรือนเพ็ญ อยู่ทางด้านทิศเหนือ ใกล้กับกำแพงทางด้านหลังของทัณฑสถาน บริเวณกึ่งกลางกำแพงพอดี เป็นอาคารประธานร่วมกับอาคารที่ทำการฯ

นอกจากนั้น ยังมีอาคารโถงอีก 1 หลัง คือ โรงอาหาร ที่มีโครงสร้างหลังคา การต่อเข้าไม้แบบตะวันตก คู่กับอาคารอีก 1 หลัง ซึ่งพบฐานรากจากการดำเนินงานทางโบราณคดี ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของเรือนเพ็ญตามลำดับ

รูปแบบผังพื้นที่ของกลุ่มอาคารในทัณฑสถานหญิง เชียงใหม่ แม้จะไม่ได้มีแผนผังยาวติดต่อกันเป็นอาคารเดียวล้อมรอบลานตรงกลาง แต่แยกออกเป็น 8 หลังเป็นคู่ตรงข้าม วางตัวขนานกัน ขนาดเท่ากัน ทำให้เกิดพื้นที่โล่งเป็นลานกลาง อาคารประธาน 2 หลังตั้งอยู่หลังประตูทางเข้า-ออก คือ อาคารที่ทำการทัณฑสถานและเรือนเพ็ญ ส่วนอาคารอีก 6 หลัง เป็นอาคารประกอบ

ลักษณะอาคารมีการออกแบบตกแต่งเป็นคู่ๆ ได้แก่ อาคารที่ทำการทัณฑสถานและเรือนเพ็ญได้รับการออกแบบที่คล้ายกัน กล่าวคือ เป็นอาคาร 2 ชั้น มีการเว้นช่องประตูที่กึ่งกลางอาคารทำเป็นรูปวงโค้ง อยู่ในตำแหน่งที่ตรงกัน และมีขนาดเท่ากัน ชั้นล่างไม่มีระเบียงทางเดิน

ขณะที่เรือนเครือฟ้าและเรือนบัวบาน เป็นอาคาร 2 ชั้น มีทางเข้าบริเวณกึ่งกลางอาคาร มีระเบียงทางเดินยาวด้านหน้าทั้งชั้นล่างและชั้นบน ด้านหน้าของเสาแบ่งห้องแต่ละช่วงมีการตกแต่งเป็นลายคล้ายหัวลูกศรชี้เข้าหากัน

ส่วนเรือนพยาบาลและเรือนแว่นแก้ว เป็นอาคาร 2 ชั้น ลักษณะคล้ายกับเรือนเครือฟ้าและเรือนบัวบาน เพียงแต่เปลี่ยนการตกแต่งจากการใช้ลายหัวลูกศรหันเข้าหากันที่ด้านหน้าของเสาแบ่งห้องเป็นเส้นบัวลูกแก้วอกไก่แบ่งชั้นล่างและชั้นบนของอาคาร ด้านหน้าบริเวณทางเข้าและฐานทำเป็นฐานบัวอย่างไทยเดิม

แบบตะวันตกเทคนิคไทย

เรือนจำเชียงใหม่ สถาปัตยกรรม แบบตะวันตกยุคแรกๆ

ส่วนโครงสร้างอาคารและวัสดุนั้น ถึงแม้อาคารทั้ง 6 หลัง (อาคารที่ทำการ เรือนแว่นแก้ว เรือนบัวบาน เรือนพยาบาล เรือนเครือฟ้า และเรือนเพ็ญ) จะได้รับการออกแบบเป็นแบบตะวันตกแล้ว แต่พบว่าวัสดุและเทคนิคการก่อสร้างยังเป็นแบบไทย คือ ก่ออิฐฉาบปูน โดยปูนที่ใช้ยังเป็นปูนหมักปูนตำแบบไทยโบราณ รวมทั้งการทาสีอาคารเดิมก็น่าจะใช้เทคนิดแบบไทยเดิม เหมือนการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง หรือการเขียนสีบนปูนเปียก เนื่องจากมีการเกณฑ์ใช้แรงงานนักโทษตั้งแต่การปั้นอิฐ เผาอิฐ และก่อสร้างเองภายในเรือนจำแต่โครงสร้างของอาคารกลับเป็นระบบโครงสร้างแบบผนังรับน้ำหนักแบบตะวันตก แล้วกล่าวคือ ผนังอาคารมีขนาดหนามาก โดยเฉลี่ยหนาประมาณ 50 เซนติเมตร เป็นตัวรับน้ำหนัก จึงไม่มีเสากลางอาคาร และหากมองลึกลงไปจะเห็นรายละเอียดการถ่ายน้ำหนักอีก เช่น โครงสร้างของเรือนเพ็ญมีการถ่ายน้ำหนักจากด้านบนที่มีน้ำหนักเบาไปสู่ที่มีน้ำหนักมากกว่า ตั้งแต่หลังคาที่เป็นโครงสร้างไม่มุงกระเบื้อง ชั้นบนของอาคารมีพื้นที่อาคารที่น้อยกว่าชั้นล่าง เพราะพื้นที่เกือบครึ่งทางด้านหน้าเป็นเพียงระเบียงทางเดินยาว ส่วนด้านล่างเป็นห้องเต็มที่ คล้ายกับที่ทำการทัณฑสถาน ซึ่งชั้นบนไม่ได้ก่อห้องเต็มพื้นที่เหมือนอย่างเช่นชั้นล่าง

ส่วนเรือนเครือฟ้าและเรือนบัวบานดูจากลักษณะภายนอกคล้ายจะมีห้องใต้ดิน แต่แท้จริงแล้วเป็นฐานรับน้ำหนักบนดิน ช่องแสงที่คล้ายหน้าต่างห้องใต้ดินนั้น แท้จริงแล้วเป็นช่องระบายความชื้นและอาจเป็นรางระบายน้ำหรือของเสีย ส่วนระหว่างช่องแสงก่อเป็นผนังทึบตลอดแนว ซึ่งหนาประมาณช่วงละ 70 เซนติเมตร ความหนาจากพื้นล่างถึงพื้นที่ด้านในประมาณ 1.25 เมตร

อาคารอื่นที่คล้ายกัน

เรือนจำเชียงใหม่ สถาปัตยกรรม แบบตะวันตกยุคแรกๆ

ลักษณะอาคารแบบตะวันตกที่คล้ายคลึงกันและร่วมสมัยกันนั้น ได้แก่ เรือนจำกลางจังหวัดเชียงราย เรือนจำจังหวัดน่าน อาคารนีลสัน เฮย์ ในโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เชียงใหม่ เป็นต้น อาคารเหล่านี้นับเป็นอาคารแบบตะวันตกยุคแรกๆ ที่สร้างขึ้นในส่วนภูมิภาค

จากมุมมองของการออกแบบตามการใช้ประโยชน์พื้นที่ที่สอดคล้องกับนโยบายการบริหารบ้านเมือง จะเห็นได้ว่าศูนย์ราชการมักตั้งอยู่กลางเมืองเพื่อความสะดวกในการติดต่อราชการทั้งสำหรับหน่วยงานด้วยกัน และสำหรับประชาชน ซึ่งศูนย์ราชการมักจะประกอบไปด้วยศาลากลางจังหวัดและศาลจังหวัด และมีพื้นที่สำหรับคุมขังนักโทษในบริเวณเดียวกัน

หากเมืองใดมีพระราชวังของพระมหากษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในเพื่อใช้สำหรับเป็นที่ทำการของหน่วยราชการได้ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่ ดังเช่น พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ซึ่งได้รับการบูรณะซ่อมแซมในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เพื่อใช้เป็นสถานที่ผ่อนคลายพระอิริยาบถก็ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นศูนย์ราชการในรัชกาลต่อมา รวมทั้งปรับเปลี่ยนเป็นเรือนจำภายในบริเวณพระราชวังเช่นกัน

เมื่อพิจารณาจากข้อมูลต่างๆ ประกอบ เช่น การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงเทศาภิบาลและผู้ว่าราชการเมืองมีหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเรือนจำมณฑลและเมือง ซึ่งต้องคอยตรวจตราเรือนจำในบังคับบัญชา ย่อมเห็นความจำเป็นและความเกี่ยวเนื่องของงานที่ทำให้กลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมตะวันตกตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน

สะท้อนการเปลี่ยนแปลง

ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่ากลุ่มอาคาร 3 กลุ่มบริเวณกลางเวียง ได้แก่ ศาลาว่าการรัฐบาล ศาลแขวง และเรือนจำ ถือเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของประเทศและของเมืองเชียงใหม่ในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างดี

ข่าวล่าสุด

‘ชาติพัฒนา’ มีมติไม่ส่งผู้สมัคร สส. ชี้หลายปัจจัยไม่เอื้อพรรคเล็ก