ปลากัดไทยเพื่อคนไทย
“ขุนเขาแห่งความคิด” วันนี้ ผมขอยกพื้นที่ให้กับการรณรงค์ให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์ประจำชาติ
โดย กรกิจ ดิษฐาน
“ขุนเขาแห่งความคิด” วันนี้ ผมขอยกพื้นที่ให้กับการรณรงค์ให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์ประจำชาติ ซึ่งเป็นการริเริ่มของอาจารย์นพนันท์อรุณวงศ์ ณ อยุธยา ซึ่งท่านเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยจิงเม่า หรือ University of International Business and Economics (UIBE) ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน แม้ว่าตัวท่านจะอยู่ที่ประเทศจีน แต่มีความเป็นห่วงเป็นใยสัตว์น้ำที่เป็นสัญลักษณ์ของคนไทยมาช้านาน เกรงว่าจะถูกคนต่างชาติโมเมอ้างความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ จนไทยต้องเสียทั้งสัตว์คู่วิถีชีวิต และสัตว์ที่จะสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ให้คนไทยภาคภูมิใจ และเก็บเกี่ยวประโยชน์จากปลากัดไทย
ปลากัดมีความผูกพันกับคนไทยมาอย่างช้านาน เช่น มีพระราชกำหนดห้ามเล่นพนันชนไก่ชนนกกัดปลาประมวลกฎหมายตราสามดวง 1213 รัชกาลที่ 1 จ.ศ. 1166 (พ.ศ. 2347) ความว่าดังนี้ “แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ห้ามอย่าให้ผู้ใดๆคบหาชักชวนกัน ชนไก่ชนนกคุ่มชนนกกะทาชนนกศรีชมภูแลจับปลาให้กัดพะนันกันเปนอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดมิฟังจับได้พิจารณาเปนสัจจะให้ลงพระราชอาชาขับเฆี่ยน ปรับไหมตามโทษานุโทษ”
ในวรรณคดีเรื่องอิเหนา สมัยรัชกาลที่ 2 กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “บ้างตั้งบ่อน ‘ปลากัด’ นัดไก่ชน” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาติดต่อกับสยามประเทศอีกครั้ง มีบันทึกว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ได้มอบปลากัดของพระองค์ให้กับชายไทยคนหนึ่ง และชายคนดังกล่าวได้นำปลากัดไปให้เพื่อนที่เป็นแพทย์ชาวอเมริกันชื่อ นพ.ทีโอดอร์ เอ็ดเวิร์ด แคนเทอร์ ซึ่งทำงานอยู่ที่สถาบันบริการทางการแพทย์ เบงกอล ในประเทศอินเดีย พ.ศ. 2392 นพ.ทีโอดอร์ เอ็ดเวิร์ด แคนเทอร์ ได้พิมพ์เอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับปลากัดไทยชนิดดังกล่าว และตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Macropodus pugnax ซึ่งเกิดความผิดพลาดขึ้น เนื่องจากความสับสนระหว่างชนิดของปลาที่มีการค้นพบ
จนกระทั่งปี 2452 ชาลส์ เทต รีกัน นักมีนวิทยาชาวอังกฤษ ได้ทำการตรวจสอบอีกครั้ง และได้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens ซึ่งคำว่า Betta มาจากคำว่า “Bettah” มาจากตำนานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง ชนชาติของผู้ที่เป็นนักรบ ส่วนคำว่า Splendens มาจากคำว่า “Splendid” มีความหมายตรงกับคำว่า “Beautiful” ดังนั้นคำว่า “Betta splendens” หมายถึง “นักรบผู้สง่างาม”
สมัยรัชกาลที่ 4 บันทึกของพระสังฆราชปัลเลอกัวซ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 กล่าวไว้ว่า “พวกเด็กๆ มีการเล่นหลายอย่าง...โดยเฉพาะปลาเล็กๆ สองชนิดที่กล้าหาญมาก ซึ่งมันเข้าจู่โจมกันสนุกนัก”
สมัยรัชกาลที่ 5 หนังสือบันทึกของที่ปรึกษาราชการแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 1908 (พ.ศ. 2451) ชื่อ Twentieth Century Impressions of Siam ฯ กล่าวไว้ว่า “คนไทยนิยมเลี้ยงปลากัดเพื่อใช้พนันขันต่อกันอย่างแพร่หลาย มีแหล่งจำหน่ายใหญ่ที่ย่านสำเพ็ง และบางตัวนั้นแม้ด้วยเงินหลายร้อยบาทก็ยังซื้อไม่ได้”
เงินเดือนข้าราชการสมัยนั้นน้อยมากอาจไม่ถึง 20 บาทด้วยซ้ำ ส่วนปลากัดสมัยนั้นราคาตัวละหลายร้อยบาทก็ยังซื้อไม่ได้ หักลบเงินเฟ้อแล้ว ปลากัดยุคพระพุทธเจ้าหลวงมีราคานับหมื่นบาทเลยทีเดียวตามค่าเงินปัจจุบัน
แม้ปลากัดจะมีค่าควรเมืองขนาดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหน่วยงานภาครัฐบางแห่งจะไม่ค่อยใส่ใจมากนัก ส่วนบางแห่งที่ใส่ใจก็ถูกเบรกกลางทางเสียอย่างนั้น
ในบทความเรื่อง “ประชาชนหนุนปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ : วัดใจรัฐบาลพิสูจน์วิสัยทัศน์ 4.0 ไทยนิยมยั่งยืนหรือภาพลวง” ระบุว่า ช่วงปลายปี 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ได้พยายามที่จะนำเสนอให้ปลากัดไทยเป็นสัตว์น้ำประจำชาติมาแล้วครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ครั้งนั้นคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งมี วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้ปฏิเสธปลากัดน้อย ด้วยเหตุผลว่า “ข้อเสนอดังกล่าวนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับมิติเรื่องเอกลักษณ์ของชาติแต่อย่างใด”
ทว่ากลุ่มคนรักปลากัดยังไม่ยอมแพ้เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มผู้รักปลากัดไทยได้รวมตัวกันและตั้งแคมเปญ “ประกาศให้ปลากัดเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ Siamese Fighting Fish as National Aquatic Animal” ผ่านเว็บไซต์ change.org แรงผลักดันนี้ทำให้อธิบดีกรมประมง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ จนถึงรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ผู้กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรง ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตั้งแต่กลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ณ เวลานั้นถือเป็นสัญญาณดีว่าปลากัดน้อยเชื้อชาติไทยจะได้สัญชาติไทยอย่างเป็นทางการเสียที
แต่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะดำเนินการ และแจ้งกรมประมงให้เป็นผู้นำเสนอต่อคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติโดยตรงเสียอย่างนั้น เรื่องก็เลยค้างมาจนถึงบัดนี้


