"สมคิด"เร่งปฏิรูปเกษตรเตรียมดึงสหกรณ์ชั้นดีร่วมปรับโครงสร้างภาคผลิตลดเหลื่อมล้ำ
"สมคิด" ปลุกใจสหกรณ์เกรดเอเป็นหัวหอก หวังเป็นแหล่งเงินออม ปล่อยกู้ ทำการค้า สั่งเสริมเขี้ยวสหกรณ์ 777 แห่ง
"สมคิด" ปลุกใจสหกรณ์เกรดเอเป็นหัวหอก หวังเป็นแหล่งเงินออม ปล่อยกู้ ทำการค้า สั่งเสริมเขี้ยวสหกรณ์ 777 แห่ง
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงานปาฐกถาหัวข้อ "การปรับโครงสร้างภาคเกษตรโดยกลไกสหกรณ์" จัดโดย กรมส่งเสริมสหกรณ์ว่า จากนี้ไปเศรษฐกิจจะดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) จะบอกว่าเศรษฐกิจไทยโตอย่างเก่งได้เพียง 4% แต่เท่าที่เห็นเครื่องชี้ต่างๆ แล้ว มั่นใจว่าครึ่งแรกของปีนี้จะโตได้มากกว่า 4.5%
ทั้งนี้ อยากให้เลิกกังวลกับโครงสร้างเศรษฐกิจเพราะรัฐบาลรับผิดชอบอยู่ แต่ควรมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ เพราะภาคการผลิตโดยเฉพาะภาคเกษตรจะเดินต่อไปไม่ได้เพราะเกษตรกรมากกว่า 20 ล้านคน แต่รายได้ประชาชาติในภาคเกษตรมีอยู่ไม่เกิน 10% ของรายได้ประชาชาติโดยรวมเท่านั้น ภายในประเทศไม่มีกำลังซื้อ ต้องผลิตเพื่อส่งออก รายได้ กระจุกตัวเกิดความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นจึงต้องแปลงเกษตรกรให้เป็นสินทรัพย์
นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศนี้ต้องทำ 2 อย่างควบคู่กัน คือ การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันกับ การลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งการลดความเหลื่อมล้ำนั้นในระยะแรกรัฐบาลมีมาตรการที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนออกไปทั้งมาตรการดูแลเสถียรภาพราคาข้าวโดยไม่บิดเบือนกลไกตลาด ขณะนี้ทำให้ชาวนามีรายได้ 1.7-1.8 หมื่นบาท/ตัน ขณะเดียวกันยังมีมาตรการดูแลสวัสดิการของผู้มี รายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินมาตรการพักหนี้เป็นระยะเวลา 3 ปี และลดดอกเบี้ยให้ 1 ปี รวมถึงมาตรการที่ให้ผู้มีบัตรประชารัฐไม่ต้องเสีย 30 บาท
นายสมคิด กล่าวว่า การปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรที่จะเกิดขึ้นนั้น ต้องมีการลดการปลูกสินค้าเกษตรบางอย่างและเพิ่มบางอย่าง โดยต้องนำกลยุทธ์ตลาดนำ โดยทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ ธ.ก.ส. จะต้องร่วมกันทำงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.เป็นต้นไป ให้เริ่มดำเนินการให้ได้ เป็นหน้าที่กระทรวงเกษตรฯ คิดออกมาให้ประชาชนกล้าเปลี่ยน ทิ้งงานอื่นให้หมดเอาเรื่องนี้ออกมาให้ได้
สำหรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเกษตรให้ได้ผลจะต้องมีสหกรณ์การเกษตรเป็นกลไกที่สำคัญ โดยเฉพาะสหกรณ์ทั้ง 777 แห่งที่ผ่านการประเมินของกรม ส่งเสริมสหกรณ์แล้วว่าอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุด เป็นความหวังที่จะเป็นหัวหอก หรือผู้นำให้สหกรณ์การเกษตรแห่งอื่นๆ ทำตาม โดยอยากให้สหกรณ์ทั้งหมดมองว่า ตัวเองคือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจคือเป็นตัวกลางของแหล่งเงินออม เงินกู้ ขับเคลื่อนสังคมในการดูแลสวัสดิการของสมาชิก และที่อยากให้เพิ่มอีกบทบาทคือ บทบาทด้านการค้าขาย โดยการเป็นตัวกลางในการรวบรวมผลผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม แปรรูป และขายผ่านช่องทาง ต่างๆ มีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยเรื่องการขาย โดยเฉพาะการขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ