โครงการพอเพียงเลี้ยงไก่ไข่ หนุนโรงเรียนมีกินยั่งยืน
นอกจากจะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจแล้ว กลุ่มเซ็นทรัลยังให้ความสำคัญกับการสร้างสังคมที่ยั่งยืน
โดย จะเรียม สำรวจ
นอกจากจะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจแล้ว กลุ่มเซ็นทรัลยังให้ความสำคัญกับการสร้างสังคมที่ยั่งยืน และหนึ่งในโครงการที่กลุ่มเซ็นทรัลเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือ คือการทำโรงเรือนเลี้ยงไก่ให้กับโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ
แนวทางการทำงานดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม (CSV) ที่กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “เซ็นทรัลทำ” ล่าสุดได้มีการเปิดตัวโมเดล “โรงเรือนพอเพียงเลี้ยงไก่ไข่” ภายใน 9 โรงเรียนประชารัฐ จำนวน 5 จังหวัด เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางความคิดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง สร้างสุขลักษณะที่ดี และต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้ในรูปแบบต่างๆ ให้กับครูและนักเรียน ตลอดจนชุมชนให้สามารถเลี้ยงตนเองได้อย่างยั่งยืน
พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า โครงการพอเพียงเลี้ยงไก่ไข่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทางกลุ่มเซ็นทรัลได้เข้าไปถ่ายทอดให้กับโรงเรียนประชารัฐ ซึ่งมีโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์สำหรับนำร่องโครงการทั้งสิ้น 9 โรงเรียน 5 จังหวัด ได้แก่ ระนอง 2 โรงเรียน ภูเก็ต 1 โรงเรียน นครศรีธรรมราช 1 โรงเรียน กระบี่ 3 โรงเรียน และตรัง 2 โรงเรียน ครอบคลุมนักเรียนประมาณ 2,000 คน ครู 180 คน
สำหรับขั้นตอนการดำเนินโครงการกลุ่มเซ็นทรัลได้ร่วมมือกับเบทาโกร ในการดำเนินโครงการพอเพียงเลี้ยงไก่ไข่ โดยกลุ่มเซ็นทรัลสนับสนุนงบลงทุน 9 โรงเรือน รวมเงินกว่า 1.8 ล้านบาท โดยใน 1 โรงเรือน แบ่งเป็นงบการก่อสร้าง ประกอบด้วย วัสดุก่อสร้าง กรง รางน้ำ ระบบน้ำ และระบบไฟ
นอกจากนี้ ยังมีพันธุ์ไก่ไข่ 100 ตัว และอาหารไก่ 4 เดือน รวมเป็นเงินกว่า 2 แสนบาท โดยพันธุ์ไก่และอาหารไก่ ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลซื้อตรงจากเบทาโกร เพื่อให้ได้พันธุ์ไก่ที่ปลอดการฉีดยาปฏิชีวนะไม่ใช้ฮอร์โมนหรือสารเร่งการเติบโต รวมทั้งอาหารไก่ที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ได้ไข่ไก่ที่ปลอดภัย
พร้อมกันนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปลงพื้นที่จริง เพื่อสำรวจพื้นที่และกำกับดูแลโรงเรือนไม่ให้อยู่ติดกับอาคารเรียน สนามบอล โรงอาหาร และห้องน้ำ เนื่องจากพื้นที่เลี้ยงไก่ไข่มีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคที่กระทบต่อทั้งตัวไก่และตัวเด็กนักเรียน
ขณะเดียวกันด้านบริษัท เบทาโกร จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือในด้านของโนว์ฮาว หรือความรู้ในการเลี้ยงไก่ไข่ด้วยการจัดอบรม วางระบบ ช่วยคิวซีการให้อาหารและน้ำ รวมไปถึงการเข้ามาดูแลในด้านของระบบไฟ และแสงว่ามีการเปิดปิดถูกเวลาหรือไม่ รวมทั้งการนำสัตวบาลมาคอยดูแลช่วยตรวจโรคไก่ไข่อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
จากแผนการทำงานที่เป็นระบบดังกล่าว ทำให้โครงการพอเพียงเลี้ยงไก่ไข่เป็นโมเดลการสร้างสังคมที่ยั่งยืนอีกโมเดลหนึ่ง เนื่องจากสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างความยั่งยืนให้กับโรงเรียนอย่างเห็นได้ชัด
ย้อนกลับไปก่อนที่กลุ่มเซ็นทรัลและเบทาโกรจะเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องดังกล่าว โรงเรียนจะต้องขออนุมัติงบจากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เพื่อใช้ในการซื้อพันธุ์ไก่ หากปีไหนไม่ผ่านการอนุมัติพื้นที่เลี้ยงไก่ไข่ก็จะรกร้าง
แต่หลังจากมีโครงการพอเพียงเลี้ยงไก่ไข่เข้ามาช่วย โรงเรียนต่างๆ ก็มีไก่ไข่เลี้ยงสม่ำเสมอ มีรายได้ มีการทำบัญชีแยกชัดเจน มีเงินหมุนเวียนภายในโรงเรียนโดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณจากหน่วยงานใด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้โรงเรียนสามารถยืนได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน
ปัญหาต่อมาที่พบก่อนที่กลุ่มเซ็นทรัลและเบทาโกรจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือ คือ โรงเรียนมีเงินจากการขายไก่ปลดระวาง (อายุ 14 เดือน ไก่ออกไข่น้อยลงหรือไม่ออกไข่แล้ว) 100 ตัว อยู่ที่ปีละประมาณ 5,000 บาท แต่หลังจากเข้าร่วมโครงการโรงเรียนมีเงินเหลือต่อปีมากถึง 7.3 หมื่นบาท เนื่องจากการนำงบอาหารกลางวันมาซื้อไข่ที่ตนเองเลี้ยง เพื่อให้รายได้หมุนเวียนอยู่ในโรงเรียนและชุมชน
ทั้งนี้ ไก่ 100 ตัวที่โรงเรียนได้รับจะสามารถออกไข่เฉลี่ย 3.4 หมื่นฟอง/ปี โดยมีการตั้งราคาขายอยู่ที่ฟองละ 2 บาท ซึ่งถือว่าถูกกว่าท้องตลาดที่ขายฟองละ 3 บาท ทำให้มีเงินหมุนเวียนมากถึง 7.3 หมื่นบาท โดยใน 7.3 หมื่นบาทนี้ โรงเรียนสามารถนำไปซื้อพันธุ์ไก่ล็อตใหม่และอาหารไก่โดยไม่ต้องของบประมาณจากใคร ทำให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง และยังมีเงินเหลือสำหรับการเพิ่มจำนวนไก่ได้อีกในอนาคต
อีกหนึ่งปัญหาที่เจอก่อนที่จะมีโครงการพอเพียงเลี้ยงไก่ไข่ คือ โรงเรียนมีการเลี้ยงไก่ไม่ถูกสุขลักษณะ ไก่เลี้ยงนอกกรง อาศัยปะปนกับสุนัขและแมว ขณะเดียวกันบางโรงเรือนก็มีพื้นที่อยู่ติดถนน ทำให้ไข่ออกมาไม่สะอาด นักเรียน ครู บริโภคไข่ที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากมีโรงเรือนที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้ไก่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและมีฝุ่นละอองต่างๆ
แต่เมื่อเข้าร่วมโครงการ ระบบการเลี้ยงจะเป็นการเลี้ยงไก่ในโรงเรือนที่มีการควบคุมแบบใหม่ ทำความสะอาดง่าย มีการเทปูนบนพื้น จากเดิมเป็นดิน ติดรั้ว มุ้งลวด มีการวางท่อระบายน้ำ ต่อท่อระบายน้ำ ลางใส่อาหารไก่ ที่ตามหลักการที่ถูกต้อง ทำให้ไข่ไก่ที่ได้สะอาดปลอดภัยต่อทุกคน และเมื่อไก่ปลดระวางก็จะมีการล้างกรง ฉีดสเปรย์ฆ่าเชื้อเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ก่อนที่จะมีการนำพันธุ์ไก่รุ่นใหม่ลงมาเลี้ยงต่อ
จากแผนการดำเนินงานดังกล่าวกลุ่มเซ็นทรัลมีความคาดหวังว่าโครงการพอเพียงเลี้ยงไก่ไข่นี้ จะสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนได้ ดังนี้
1.ครูและนักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้จากโมเดลของโครงการเลี้ยงไก่ไข่ที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และสามารถนำไปต่อยอดโมเดลกับสิ่งอื่นๆ เช่น ปลูกผัก ปลูกข้าว เลี้ยงปลา โดยเอางบประมาณอาหารกลางวันทีได้มาซื้อของที่ตัวเองเป็นคนปลูก เป็นคนเลี้ยง โดยไม่เดือดร้อนหรือต้องพึ่งพาใคร เป็นการสร้างความยั่งยืนในที่สุด
2.ครูและนักเรียนจะเกิดวิธีคิดต่างๆ ที่สะท้อนถึงหลักเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ 2 ห่วง 3 เงื่อนไข 4 มิติ เช่น เกิดความรู้ในการเลี้ยงไก่ไข่ มีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา สามารถแบ่งปันความรู้ให้กับพ่อแม่ครอบครัว แปรรูปอาหารให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
3.ห่วง คือ ห่วงความรู้ การเลี้ยงไก่เด็กจะต้องวิเคราะห์ออกมาว่าความรู้ในการเลี้ยงไก่ต้องมีอะไรบ้าง ซึ่งเด็กแต่ละรุ่นแต่ละชั้นเข้ามาเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบกรงไก่ เด็กจะสามารถถอดความรู้จากตรงนี้ได้ ห่วงคุณธรรม การเลี้ยงไก่ต้องมีคุณธรรม คือ มีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา มีมาตรฐาน ต้องดูแลใกล้ชิด และมีความซื่อสัตย์
4.เงื่อนไข คือ พอประมาณ นักเรียนจะได้รู้ว่าพอประมาณในการเลี้ยงไก่คืออะไร ขนาดโรงเรือนต้องเหมาะสมกับจำนวนไก่ การให้น้ำ ให้อาหาร ไม่มากหรือน้อยเกินไป มีเหตุผล คือ ช่วยประหยัดงบประมาณ ใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารกลางวันได้ ไข่ถูกสุขลักษณะ ใช้เวลาว่างได้เกิดประโยชน์ เด็กเรียนรู้ที่จะมีอาชีพ สามารถเอาความรู้ไปแบ่งปันพ่อแม่ พ่อแม่อาจมีไอเดียเลี้ยงไก่ มีอาชีพเกิดในครอบครัว เลี้ยงไก่ง่ายๆ เพื่อเก็บไข่กิน หรือหากโรงเรียนมีไข่ปริมาณมากสามารถนำไปแปรรูปอาหารได้ ที่เรียกว่าไข่แปลงโฉม เป็นต้น
5.มิติ คือ วัตถุ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ มีไข่กินทุกวันเป็นของตัวเอง ไข่ถูกสุขลักษณะ สังคม มีมนุษยสัมพันธ์ มีการเรียนรู้ต่อกัน วัฒนธรรม เห็นคุณค่าในการสร้างอาหารในท้องถิ่นเอง สิ่งแวดล้อม การทำความสะอาดกรงไก่และการกำจัดกลิ่น
จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว ทำให้ปีนี้กลุ่มเซ็นทรัลมีแผนที่จะขยายโครงการพอเพียงเลี้ยงไก่ไข่เพิ่มอีก 4 จังหวัด คือ สระบุรี เชียงใหม่ อุดรธานี และอุบลราชธานี เพื่อสร้างรากฐานทางกระบวนการความคิด ให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน


