ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (73)
เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จสวรรคตได้เพียง 2 ปี
โดย วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จสวรรคตได้เพียง 2 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถจึงโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระราชโอรสพระองค์ที่ 2 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขณะยังทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 1 ม.ค. 2423 ณ พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังชั้นใน
แม้ตอนประสูติ พระราชชนนียังดำรงพระยศเป็นพระราชเทวีอยู่ ยังมิได้ดำรงพระยศ พระอัครมเหสี แต่ตามขัตติยราชประเพณีในรัชกาลที่ 5 พระราชโอรสธิดาดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้าชั้นทูลกระหม่อมทุกพระองค์ พระอิสริยยศเดิมของพระองค์ทรงเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าชั้นทูลกระหม่อม เมื่อพระชนมพรรษาเจริญครบเดือน สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ สถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ แต่ยังมิได้พระราชทานพระสุพรรณบัฏเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระบรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงเรียกว่า “ลูกโต” พระประยูรญาติในพระราชสำนักดำเนินรอยตามพระบรมราชอัธยาศัย เรียกพระองค์ท่านว่า “ทูลกระหม่อมโต”
ต่อมาในวันพฤหัสบดีที่ 14 มี.ค. 2431 (นับแบบปัจจุบันเป็นปี 2432) ทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช จุฬาลงกรณ์นารถราชวโรรส มหาสมมติขัตติยพิสุทธิ บรมมกุฏสุริยสันตติวงษ อดิสัยพงษวโรภโตสุชาติ คุณสังกาศวิมลรัตน ทฤฆชนมสวัสดิ ขัตติยราชกุมาร ทรงศักดินา 50000 ตามอย่างเจ้าฟ้าต่างกรม และทรงตั้งเจ้ากรมเป็นกรมขุนเทพทวาราวดี รับพระเกียรติยศเป็นที่สองรองจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร
ในขณะที่ทรงพระเยาว์นั้น ได้ทรงศึกษาในพระบรมมหาราชวัง โดยมีหม่อมเจ้าประภากร มาลากุล พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) และพระยาอิศรพันธุ์โสภณ (หนูอิศรางกูร ณ อยุธยา) เป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรภาษาไทย ส่วนวิชาภาษาอังกฤษนั้นทรงศึกษากับ โรเบิร์ต มอแรนต์ (Robert Morant) ครั้นเมื่อปี 2436 พระชนมายุได้ 12 พรรษาเศษ สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จออกไปทรงศึกษาต่อ ณ อังกฤษ ในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ ณ อังกฤษ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จสวรรคต สมเด็จพระบรมชนกนาถจึงโปรดฯ ให้สถาปนาเฉลิมพระอิสริยยศขึ้นเป็นสยามมกุฎราชกุมารสืบแทนสมเด็จพระเชษฐา
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงศึกษาวิชาอยู่ ณ ประเทศอังกฤษหลายแขนง ทางทหารทรงสำเร็จการศึกษาจากแซนเฮิสต์แล้วเข้ารับราชการในกรมทหารราบเบาเดอรัม ทางด้านพลเรือนทรงศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และกฎหมาย ที่วิทยาลัยไครส์เชิร์ช มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ระหว่างปี 2442-2444 แต่เนื่องด้วยทรงพระประชวรด้วยพระโรคอันตะ (ไส้ติ่ง) อักเสบ มีพระอาการมากต้องเข้ารับการผ่าตัดทันที ทำให้ทรงพลาดโอกาสที่ได้รับปริญญา ระหว่างการศึกษาในต่างประเทศ ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจแทนพระองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ โดยเสด็จในฐานะผู้แทนพระองค์ไปในงานพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ทั้งในประเทศอังกฤษและประเทศใกล้เคียง เสด็จนิวัตพระนครตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ โดยเสด็จผ่านสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น ถึงกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2445
วันที่ 21 ส.ค. 2447 เวลาเช้า 3 โมงเศษ ทรงผนวชเป็นครั้งที่ 3 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เป็นพระอุปัชฌาย์ หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ถึงเวลาบ่าย 4 โมงเย็น ได้ทรงทำทัฬหีกรรม ณ พระพุทธรัตนสถาน กับพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์พระองค์เดิม ผนวชแล้วประทับ ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ถึงวันที่ 11 ธ.ค. ศกนั้น จึงทรงลาผนวช แล้วปฏิญาณพระองค์ถึงไตรสรณคมน์และรับศีล ยังประทับในวัดบวรนิเวศวิหารต่อจนเช้าวันที่ 15 ธ.ค. จึงเสด็จฯ กลับ และทรงประกอบราชกิจหลายประการ เพื่อแบ่งเบาพระราชภารกิจของสมเด็จพระบรมชนกนาถ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินยุโรปครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 27 มี.ค. 2449-17 พ.ย. 2450 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอำนาจในราชกิจที่จะรักษาพระนครไว้แด่พระองค์ เป็นการรับสนองพระเดชพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระบรมชนกนาถในหน้าที่อันสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่ง และได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยเป็นที่สุดด้วยระหว่างทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์นี้ ทรงรับเป็นประธานการจัดสร้างพระบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งงานสำคัญบรรลุโดยพระราชประสงค์อย่างดี
เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตลงเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2453 ทั้งๆ ที่พระองค์นั้นได้รับการสถาปนาตั้งไว้ในพระรัชทายาทสืบพระราชสันตติวงศ์มาตั้งแต่ปี 2437 แต่ก็ทรงเศร้าสลด ไม่มีพระราชประสงค์ที่จะแลกสิริราชสมบัติสำหรับพระองค์เองกับการสูญเสียพระชนม์ชีพของสมเด็จพระบรมชนกนาถ จนกระทั่งสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ซึ่งเป็นพระปิตุลา (อา) แท้ๆ ทูลเชิญเสด็จลงที่ห้องแป๊ะเต๋งบนชั้น 2 พระที่นั่งอัมพรสถาน และท่ามกลางพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ผู้ใหญ่ องคมนตรี และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยที่ชุมนุมอยู่ พระปิตุลาได้คุกพระชงฆ์ (แข้ง) ลงกับพื้นกราบถวายบังคมอัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบสนองพระองค์สมเด็จพระบรมชนกนาถ และทันใดทุกท่านที่ชุมนุมอยู่ที่นั้น ก็ได้คุกเข่าลงกราบถวายบังคมทั่วกัน และในคืนนั้นได้มีประกาศภาษาไทยให้ออกพระนามว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชผู้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน ต่อมาวันที่ 25 ต.ค. จึงให้ออกพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในวันศุกร์ที่ 11 พ.ย. 2453 จึงรับบรมราชาภิเษก เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “พระบาท สมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานารถมหาสมมตวงษ์ อดิศัยพงษวิมลรัตน์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโต
สุชาตสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร บรมมกุฏนเรนทรสูรสันตติวงษวิสิฐ สุสาธิตบุรพาธิการ อดุลยกฤษฎาภินิหารอดิเรกบุญฤทธิ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์บุริมศักดิสมญาเทพวาราวดี ศรีมหาบุรุษสุตสมบัติ เสนางคนิกรรัตน์อัศวโกศล ประพนธปรีชามัทวสมาจาร บริบูรณ์คุณสารสยามาทินครวรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร บรมชนกาดิศรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเสวตฉัตราดิฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเศกาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนารถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศรามาธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤไทย อโนปไมยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”
ต่อมาในวันที่ 11 พ.ย. 2459 ทรงเห็นชอบกับคำกราบบังคมทูลของเหล่าเสนาบดีให้เฉลิมพระปรมาภิไธย “สมเด็จพระรามาธิบดี” แทนคำว่า “สมเด็จพระปรเมนทร” จึงมีพระปรมาภิไธยอย่างสังเขปว่า “พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” และเมื่อยกรามาธิบดีเป็นคำนำพระปรมาภิไธยแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้แก้ นเรศรามาธิบดี เป็น นเรศราธิบดี แทน
หลังจากที่เสด็จขึ้นทรงราชย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชบันทึก เรื่องที่มาของพระนามพระมหากษัตริย์ที่ทรงยังไม่ได้ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และทรงผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ในหนังสือต้นรัชกาลที่ 6 ความว่า
“เมื่อทูลกระหม่อมได้สวรรคตลงแล้วนั้น ได้เกิดโจทย์กันขึ้นว่าจะควรใช้ออกชื่อฉันว่ากระไร พวกเจ้านายรุ่นใหม่ มีกรมนครชัยศรี เป็นต้น ร้องว่าไม่เห็นมีปัญหาอะไร ควรเรียกว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” แต่ท่านพวกเจ้านายผู้ใหญ่ มีกรมหลวงเทววงศ์ และกรมหลวงนเรศร์ เป็นต้น กล่าวแย้งว่า ธรรมเนียมเก่าต้องรอให้บรมราชาภิษกแล้วจึ่งเรียก “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” กรมนครชัยศรีถามว่า “ถ้าเช่นนั้นแปลว่าในเวลานี้ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินฉะนั้นหรือ? ท่านผู้ใหญ่ก็ตอบอ้อมแอ้มอะไรกัน จำไม่ได้ กรมนครชัยศรีจึ่งไว้กล่าวขึ้นว่า ธรรมเนียมเก่าจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ในสมัยนี้จะปล่อยลังเลไว้เช่นนั้นไม่ได้ ชาวต่างประเทศเขาจะเห็นแปลกนัก เพราะเป็นธรรมเนียมที่รู้อยู่ทั่วกันในยุโรปว่าในประเทศที่มีลักษณะปกครองเปนแบบราชาธิปไตย พระราชาต้องมีอยู่เสมอ จนถึงแก่มีธรรมเนียมในราชสำนัก เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตลงเมื่อใด ก็เป็นหน้าที่เสนาบดีกระทรวงวัง หรือผู้ที่เป็นหัวหน้าราชเสวก ออกมาร้องประกาศแก่เสนาบดีและข้าราชการผู้ใหญ่ว่า “Messeigneurs et Messeieurs Le Roi et Mort Vive le Roi” (ใต้เท้าทั้งหลายและท่านทั้งหลาย สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตแล้ว ขอให้สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงพระเจริญยิ่งๆ) ในเวลาดึกวันที่ ๒๓ นั้นจึ่งได้ไกล่เกลี่ยกันว่า ในประกาศภาษาไทยให้ใช้ออกชื่อฉันว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ผู้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน” แต่ในหนังสือที่มีบอกไปยังพวกฑูตใช้เป็นภาษาอังกฤษว่า “His Majesty the king” กรมนครชัยศรีว่าดึกแล้วขี้เกียจเถียงซักความยาวสาวความยืดต่อไป แต่พระองค์ท่านเองไม่ยอมเรียกฉันว่าอย่างอื่นนอกจากว่า “พระเจ้าอยู่หัว”
ครั้นเวลาบ่าย ๕ นาฬิกา วันที่ ๒๕ ตุลาคม ฉันได้นัดประชุมพิเศษเป็นครั้งแรกที่พระโรงมุขตวันตกแห่งพระที่นั่งจักรี เพื่อปรึกษาข้อราชการและวางระเบียบที่จะได้ดำเนินต่อไป แต่ก่อนที่จะพูดเรื่องอื่นๆ ได้กล่าวกันถึงเรื่องเรียกตำแหน่งของฉัน กรมหลวงเทววงศ์ตรัสว่าแก้ปัญหาตกแล้ว คือไปค้นในหนังสือแสดงกิจจานุกิจของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ที่เรียกกันว่า “กรมท่าตามืด”) ได้ความว่า เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าเสด็จสวรรคตแล้วนั้น ได้กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า เรียกว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” กรมพระราชวังบวร ทันที หาได้รอจนเมื่อกระทำพิธีบรมราชาภิเษกแล้วไม่ ที่มาเกิดมีรอไว้ไม่เรียกว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ก็คือตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จขึ้นทรงราชย์ เมื่อก่อนที่กระทำพิธีราชาภิเษกหาได้ออกพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ไม่ ต่อมาจึ่งกลายเป็นธรรมเนียมไป แต่เมื่อปรากฏว่าเคยได้มีธรรมเนียมเรียกว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” พระองค์ ๑ แล้ว ก็เป็นอันว่าในครั้งนี้ควรให้เป็นไปเช่นกัน ไม่ต้องรอราชาภิเษก แต่คำว่า “มีพระบรมราชโองการ” ควรให้รอไว้ก่อน ให้ใช้ว่า “มีพระราชดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม” ไปพลาง ส่วนข้อที่ได้ใช้ในคำประกาศว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชผู้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน” พลาดมาแล้วนั้นเพื่อจะแก้ตัวกับฝรั่ง กรมหลวงเทววงศ์ทรงรับรองว่าจะไปกล่าวแก้ไขว่ารอไว้จนกว่าจะถือน้ำแล้วเท่านั้น
การที่ได้ตกลงกันไปเสียได้เช่นนั้นทำให้ฉันโล่งมาก เพราะก่อนนั้นรู้สึกไม่เป็นที่เรียบร้อย ดูราวกับฉันเป็นผู้ที่ฉวยอำนาจไว้ได้แล้ว แต่ยังต้องรอรับเลือกของใครๆ ต่อไปอีกก่อนจึ่งจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจริงๆ พวกฝรั่งได้ร้องถามว่า การที่ยังไม่เรียกฉันว่า “สมเด็จระเจ้าอยู่หัว” นั้น แปลว่ายังไม่แน่ว่าจะได้เป็นฉะนั้นหรือ? อาจจะมีองค์อื่น “เคลม” ได้อีกด้วยหรือ? พูดกันอย่างแสลงเช่น เว็สเต็นการ์ (พระยากัลยาณไมตรี ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน) จึ่งได้รู้สึกเดือดร้อน และไปทูลท้วงแก่เสด็จลุง (กรมหลวงเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ) อย่างแข็งแรง ส่วนเสด็จลุงเองท่านจะได้มีความคิดอยู่ในพระทัยอย่างไรบ้างฉันก็หาทราบไม่ แต่ฉันนึกเดาเอาว่า ที่ท่านยังไม่ให้เรียกฉันว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นั้น ดูเหมือนจะเกิดความวิตกไปว่า ผู้อื่นเขาจะนินทาได้ว่าพระองค์ท่านเห่อแหนหลาน ซึ่งเป็นธรรมดาของเสด็จลุงต้องชอบถ่อมไว้เช่นนั้นเสมอ แต่แท้จริงเมื่อคำนึงดูแล้ว ก็ควรจะต้องเห็นว่า ครั้งฉันนี้ผิดกันกับครั้งก่อนๆ ทีเดียว เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าทรงพระประชวรหนักนั้น มิได้มีเวลาที่จะทรงสั่งไว้ว่าให้ผู้ใดเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าในเวลานั้นทรงพระผนวชอยู่ และมีพระชนมายุเพียง ๒๐ แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเป็นพระเจ้าลูกยาเธอผู้ใหญ่และเป็นผู้กำกับราชการอยู่หลายตำแหน่ง พอพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าเสด็จสวรรคต ท่านก็ทรงฉวยอำนาจไว้ได้หมด ฉะนั้นท่านจึ่งมิได้ให้ผู้ใดเรียกพระองค์ท่านว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” จนกว่าจะได้กระทำพิธีราชาภิเษกแล้ว...”


