ธรรมมิตรไทย-พม่า (2) : รอยอภิธรรมโชติกะ
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ เดินทางจากพม่ามายังประเทศไทย เมื่อปี 2492
โดย วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง เครือข่ายพุทธิกา www.budnet.org
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ เดินทางจากพม่ามายังประเทศไทย เมื่อปี 2492 เพื่อวางรากฐานการศึกษาพระอภิธรรมให้กับไทย ตามการอาราธนาของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) จนกระทั่งท่านถึงกาลมรณภาพเมื่อปี 2509
ระบบการเรียนพระอภิธรรมของไทยดำเนินสืบเนื่องมา ขณะที่ความรับรู้เกี่ยวกับผู้เป็นบูรพาจารย์นับวันยิ่งเลือนราง กระทั่งก่อนวาระ 100 ปีชาตกาลของพระอาจารย์โชติกะ ในปี 2556 คณะศิษยานุศิษย์ที่ไปศึกษาต่ออยู่ในประเทศพม่า ได้ออกตามรอยธรรมของท่านไปจนถึงถิ่นเกิด และได้รวบรวมประวัติของท่านอย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรกในชื่อ “ประวัติพระอาจารย์สัทธัมมโชติกะธัมมาจริยะ” โดย พระมหาฉลาด จักกวโร พระนรมย์ วิสารโท พระบัณฑิต ญาณธีโร
ข้อเขียนนั้นเล่าถึงอาจารย์ว่าท่านเกิดที่หมู่บ้านยัวตา จังหวัดมี้ยงฉั่ง แถบเมืองมัณฑะเลย์ บรรพชาครั้งแรกตั้งแต่ 7 ขวบ อุปสมบทเมื่ออายุ 21 ปี จำพรรษาและศึกษาปริยัติธรรมชั้นต้นที่วัดวาโซไต้ ในหมู่บ้านเกิด
ก่อนเข้าพรรษาที่ 3 น้องชายได้มาบวชจำพรรษาอยู่ด้วยกัน ต่อมาวันหนึ่งในพรรษาที่ 4 ภิกษุสองพี่น้องชวนกันไปไหว้พระในวิหารไม้ ต่อหน้าองค์พระพุทธรูปไม้จันทน์หอมปิดทองทั้งองค์ปางประทับยืน เกิดศรัทธาแรงกล้าถึงขั้นตัดสินใจบูชาพระพุทธเจ้าด้วยชีวิตและอวัยวะ
พระน้องชายกล่าวกับพี่ว่าอยากจะบูชาพระพุทธเจ้าด้วยร่างกาย และชวนพระผู้พี่ว่าเราสองคนมาสละร่างกายและชีวิตเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าดีไหม
พระโชติกะตอบว่า เกิดมาเป็นมนุษย์บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ไม่อยากจะทำลายร่างกายและสมองของตนเองที่มีอยู่ อยากจะใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนาบ้าง ขอบูชาพระพุทธเจ้าด้วยวัตถุสิ่งอื่น
จากนั้นภิกษุหนุ่มทั้งสองก็แยกกันไปทำการบูชาตามความปรารถนาของตน พระธัมมิกะผู้น้องเดินออกไปนอกเจดีย์ กระทำการบูชาตามความตั้งใจของตน ใช้จีวรพันรอบกาย มัดเชือก ราดน้ำมัน แล้วจุดไฟเผาตนเป็นประทีปบูชาพระพุทธเจ้า
พระโชติกะตัดนิ้วก้อยข้างซ้ายถวายเป็นพุทธบูชา
ต่อมาท่านออกไปศึกษาต่อที่วัดตูมองไต้ จังหวัดอมรปุระ ทางใต้ของเมืองมัณฑะเลย์
หลังสำเร็จชั้นธัมมาจริยะที่เมืองอมรปุระท่านเดินทางไปศึกษาต่อที่จังหวัดปะขุ๊กกู่
จากนั้นพระโชติกะในวัยหนุ่มจึงเข้าเมืองหลวง ไปศึกษาพระวินัย พระบาลีอรรถกถา และฎีกา ที่วัดตะแยะไต้ ในกรุงย่างกุ้ง ก่อนเดินทางธรรมต่อมาถึงกรุงเทพฯ ขณะมีอายุ 36 ปี 15 พรรษา
ช่วงแรกพำนักอยู่ที่วัดนาคปรก เขตยานนาวา ต่อมาย้ายมาวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี จากนั้นท่านได้ดำเนินการสอนพระอภิธรรม และรจนาคัมภีร์พระอภิธรรมเล่มแรก พระอภิธรรมสังคณีมาติกา เมื่อปี 2494 ต่อมาเรียบเรียงคัมภีร์มหาปัฏฐาน ซึ่งใช้เวลาปีเศษจึงเสร็จ ต่อด้วยคัมภีร์ธาตุกถา ยมกเบื้องต่ำ 5 ยมก และเล่มต่อๆ มา
โดยพื้นภูมิหลังที่ท่านไม่ใช่คนไทยและไม่สันทัดการสื่อสารภาษาไทย แต่ท่านวิริยะอุตสาหะ ใช้ล่ามภาษาพม่า และลูกศิษย์ที่พอมีพื้นฐานความรู้พระอภิธรรม ในการจัดทำหลักสูตรการสอนมาแต่ต้น จนกระทั่งได้หลักสูตรเกี่ยวกับพระอภิธรรม 20 เล่ม กับหนังสือจากการแสดงปาฐกถาปกิณกะอีก 5 เล่ม สะท้อนถึงความเป็นอัจฉริยบุคคลทางวิชาการพุทธศาสนาของท่าน
ดังที่ท่านปรารภว่า
“อาตมาลำบากผู้เดียว แต่ทำให้ผู้อื่นจำนวนมากได้รับประโยชน์และความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อาตมาภาพก็ยินดียอมรับความลำบากนั้นๆ ทุกประการ โดยมิได้นึกเป็นอย่างอื่น และเพื่อเป็นการสร้างสมบารมีทั้ง 10 ประการ ตามสมควรที่จะเป็นไปได้ประการหนึ่งฯ”
ปีที่ 17 ที่พระอาจารย์โชติกะได้จัดหลักสูตรการเรียนการสอนพระอภิธรรมในเมืองไทย ท่านอาพาธหนักด้วยโรคความดันโลหิตสูง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมิชชั่น 2 ครั้ง ภายหลังมาพักรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชร่วมเดือน แต่อาการยังทรุดหนัก กระทั่งถึงกาลมรณภาพเมื่อ 20 นาฬิกาเศษ วันที่ 15 ก.ค. 2509 สิริอายุได้ 53 ปี 32 พรรษา
ท่านไม่ได้ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชาดังน้องชายแต่อุทิศชีวิตให้พระพุทธศาสนาจนลมหายใจสุดท้าย และอภิธรรมโชติกะวิทยาลัย ที่ท่านให้กำเนิด ก็ยังเติบโตต่อมาอย่างมีชีวิตชีวาจนปัจจุบัน


