posttoday

พิษสะสม เกษตร-คน-สิ่งแวดล้อม

03 มิถุนายน 2561

ท่ามกลางความไม่ชัดเจนว่าจะมีมติยกเลิกสารเคมีในภาคเกษตรอย่าง “พาราควอต”

โดย ธเนศน์ นุ่นมัน ภาพ เอพี 

ท่ามกลางความไม่ชัดเจนว่าจะมีมติยกเลิกสารเคมีในภาคเกษตรอย่าง “พาราควอต” ยาฆ่าหญ้า และ “คลอร์ ไพริฟอส” ยาฆ่าแมลงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป ซึ่งหากจะสำรวจงานวิจัยและคำยืนยัน นักวิชาการด้านสุขภาพที่ชี้ว่าสารเคมีในภาคเกษตรที่เราใช้มานานนั้น จะส่งผลต่อเนื่องกับสุขภาพอย่างที่เราคาดไม่ถึง

จุฑามาศ สัตยวิวัฒน์ รองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและพิษวิทยา สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ระบุว่า องค์การอนามัยโลกชี้ว่าสารเคมีปราบศัตรูพืช โดยเฉพาะพาราควอตนั้นส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง โดยทำให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระตลอดเวลาหรือเกิดภาวะโมเลกุล หรืออะตอมที่ไม่เสถียร และเป็นสารพิษที่ไม่มียาถอนพิษ นอกจากนี้ข้อมูลจากศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี ปี 2553-2559 ยังระบุด้วยว่ามีผู้ป่วยจากที่ได้รับพิษพาราควอตสูงถึง 46% โดยจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 4,223 ราย เสียชีวิตถึง 1,950 ราย

ศ.พรพิมล กองทิพย์ อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้วิจัยเก็บข้อมูลพบว่าสารกำจัดศัตรูพืชนั้นสามารถสะสมในน้ำนมแม่และกระทบต่อการพัฒนาระบบประสาทของทารก และพบอีกว่าพาราควอตและไกลโฟเซตยังสามารถผ่านจากมารดาไปสู่ตัวอ่อนในครรภ์ โดยพบการตกค้างของพาราควอตในซีรั่มทารกแรกเกิดและมารดาระหว่าง 17-20% พบไกลโฟเซตระหว่าง 49-54% และพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีความเสี่ยงรับสารไกลโฟเซตมากกว่าคนทั่วไป 12 เท่า

เราถูกปลูกฝังความคิดมานานว่าการใช้สารเคมีการเกษตรช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ แต่ไม่ได้คิดถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศการเกษตรในระยะยาว และส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบว่าแมลงนั้นสามารถพัฒนาภูมิต้านทานสารเคมีได้วิวัฒนาการของแมลงในการเอาดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอด ซับซ้อนกว่าที่เราคิด นักวิจัยพบว่าเพียง 50 ปีที่เริ่มมีการใช้สารเคมีนั้นมีแมลงมากกว่า 400 ชนิด ที่ได้พัฒนาภูมิต้านทานยาฆ่าแมลงชนิดต่างๆ ซึ่งทำให้ต้องใช้ยาฆ่าแมลงที่เข้มข้นมากขึ้น หรือเปลี่ยนไปใช้ยาฆ่าแมลงชนิดใหม่ เช่น ในกรณีของหนอนเจาะสมอฝ้าย ในช่วงเริ่มต้นในปี 2503 ที่มีการใช้สารดีดีทีเพื่อฆ่าหนอน จะใช้สารดีดีทีเพียง 0.03 มิลิกรัม/น้ำหนักตัวของหนอน 1 กรัม แต่เพียง 5 ปีหลังจากนั้น ต้องเพิ่มปริมาณเป็น 1,000 มิลลิกรัมจึงจะทำให้หนอนตายได้

แมลงศัตรูพืชได้เร่งการวิวัฒนาการให้สามารถต้านทานสารเคมีได้เร็วขึ้นๆ เพื่อเอาตัวรอด โดยทิ้งโจทย์ให้ภาคเกษตรหาวิธีอื่นๆ มารับมือมากขึ้นทุกที

นอกจากนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าสารเคมีในภาคเกษตรนั้นทำลายสมดุลของระบบนเวศ ไม่ได้ฆ่าแต่เพียงแมลงศัตรูพืช แต่สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศการเกษตร โดยเฉพาะแมลงที่เป็นประโยชน์ ที่คอยควบคุมศัตรูพืช หรือแมลงผสมเกสร ก็ถูกกำจัดไปด้วย และสุดท้ายก็สะสมในห่วงโซ่อาหาร เพราะน้ำที่ไหลผ่านแปลงเกษตร ที่มีการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดศัตรูพืช จะไหลลงไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ

ที่ผ่านมามีรายงานเรื่องการสะสมของ DDT ในห่วงโซ่อาหาร ที่เริ่มจากการปนเปื้อนในน้ำในอัตรามากพอที่จะสะสมในสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้ำ สุดท้ายเมื่อถึงนกที่กินปลาเป็นอาหารจะมี DDT สะสมในตัวได้มากถึง 25 ส่วน แม้นกจะไม่ตายในทันทีหลังจากรับพิษ แต่การสะสมก็มีผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ทำให้เปลือกไข่บางลง ส่งผลให้ไข่แตกได้ง่ายขณะที่กำลังฟักที่สุดก็ส่งผลกระทบต่อประชากรนกลดลงในที่สุด

เช่นเดียวกับที่ นพดล กิตนะ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายงานว่า พบการตกค้างปนเปื้อนในกบหนอง ปูนา หอยกาบน้ำจืด และปลากะมัง มีค่ามากกว่าระดับสูงสุดที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ จำกัดให้มีในอาหาร ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงภัยใกล้ตัวจากการใช้สารฆ่าวัชพืชที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยในพื้นที่เกษตรกรรมและที่ต้องไม่ลืมก็คือน้ำในแม่น้ำนั้นส่วนหนึ่งไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา

ข่าวล่าสุด

Yindii เปลี่ยนอาหารขายไม่หมด หมุนรายได้คืนธุรกิจ 78 ล้านบาท