posttoday

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (64)

13 พฤษภาคม 2561

5.กระสุนดินดำแลเครื่องศาสตราวุธที่ชำรุดแตกหักเป็นของใช้ไม่ได้แล้ว

โดย วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

5.กระสุนดินดำแลเครื่องศาสตราวุธที่ชำรุดแตกหักเป็นของใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าจะจัดซื้อหาขึ้นใหม่แทนของเก่าหรือจะจัดหาซื้อเพิ่มเติมขึ้นอีก ก็ให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบใต้ฝ่าละอองฯ และแจ้งความต่อ ฯพณฯ ที่สมุหพระกลาโหม ถ้าโปรดอนุญาตยอมจึงจะจัดหาซื้อเพิ่มเติมขึ้นได้ ถ้าเป็นอาวุธต่างๆ ซึ่งจะใช้ให้เป็นพระแสงสำหรับทรงนั้นถึงไม่ต้องบอกก่อนก็ได้สำหรับข้อเสนอของกรมพระราชวังบวรฯ มีหลายข้อด้วยกัน เป็นต้นว่า ขออย่าให้คนทั้งปวงหมิ่นประมาทดูถูกหรือว่าการชำระความขอให้มีความยุติธรรม และรวมทั้งข้อที่ว่าขอปูนขาวไปซ่อมแซมวังหน้านั้น คณะเสนาบดีผู้ไกล่เกลี่ยมองเห็นเป็นเรื่องหยุมหยิมไม่จริงจังอะไรนัก

ส่วนความในข้อ 10 ที่กรมพระราชวังบวรฯ เสนอว่า ถ้าทำหนังสือประนีประนอมแล้วจะต้องให้กงสุลอังกฤษกับกงสุลฝรั่งเศสลงชื่อเป็นพยานไว้ด้วย คณะเสนาบดีเห็นพ้องต้องกันว่า แค่ทำหนังสือนำส่งสำเนาบอกความแก่กงสุลทุกประเทศให้ทราบทั่วกันก็ถือว่าเป็นพยานอยู่แล้ว คงไม่ต้องถึงกับให้กงสุลทั้งสองประเทศนี้เข้ามาเกี่ยวข้องเซ็นไว้เป็นพยาน”

แต่อย่างไรก็ตาม กรมพระราชวังบวรฯ ก็ได้มีหนังสือตอบมายังคณะเสนาบดีเป็นความว่า

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (64)

“...แจ้งความมายังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ แลท่านเสนาบดีด้วย ท่านทำคำแก้คำประนี ประนอมขอขึ้นไป 10 ข้อนั้น เห็นว่าเป็นยุติธรรมอยู่แล้ว แต่ข้อความประนีประนอมของท่านซึ่งมีมานั้น หาเหมือนกันกับที่ข้าพเจ้าขอขึ้นไปไม่ ข้อยังผิดกันอยู่นั้นเห็นเป็นสำคัญของข้าพเจ้า ไม่อยากให้เป็นความเถียงกันข้าพเจ้าเห็นความเรื่องนี้จะไม่ตกลงกัน และได้ทราบความว่าเจ้าเมืองสิงคโปร์จะเข้ามา ข้าพเจ้าเห็นดีที่จะรอไว้จนเจ้าเมืองสิงคโปร์เข้ามา จึงค่อยว่ากัน จะได้เป็นคนกลางจึงจะควร

แจ้งความมา ณ วัน ๕ ฯ๖ ๙ ค่ำ ปีจอ ฉศก...”

การที่กรมพระราชวังบวรฯ หวังพึ่งพิงอิงต่างชาติเช่นนี้ เพราะกงสุลอังกฤษหรือโธมัสน็อกซ์ ที่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงหลบไปลี้ภัยและขอความคุ้มครองจากรัฐบาลอังกฤษนั้น เป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับวังหน้าเป็นพิเศษ เนื่องจากเคยเป็นครูฝึกทหารรับราชการในพระบาท
สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ผู้เป็นพระราชบิดาของกรมพระราชวังบวรฯ มาก่อน เป็นเหตุให้เกิดความขุ่นเคืองแก่บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหลาย แม้แต่สมเด็จ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งสนับสนุนวังหน้ามาตลอด และเป็นผู้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาเชิญลงมาจากเมืองราชบุรีเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องนี้โดยเฉพาะนั้น ก็ยังทนไม่ไหวต่อพฤติกรรมของวังหน้า ถึงกับมีหนังสือปรึกษาความผิดของวังหน้าไปยังพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี เคาน์ซิล ลอร์ออฟสเตต ปรีวี่เคาน์ซิลลอร์ และข้าราชการทั้งปวง

ต่อไปนี้เป็นหนังสือปรึกษาความผิดของวังหน้าที่สมเด็จพระยาฯ มีไปยังพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี เคาน์ซิล และข้าราชการทั้งปวง มีใจความตอนหนึ่งว่า

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (64)

“...ครั้นวันพฤหัสบดี เดือนอ้าย แรมแปดค่ำ ปีจอ ฉศก สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานั้นทุกประการแล้ว ได้ปรึกษาท่านเสนาบดีคิดจะระงับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อย ครั้น ณ วันศุกร์ เดือนอ้าย แรมเก้าค่ำ ปีจอ ฉศก สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ให้หาพระยาจำนงสรไกรลงมาสั่งว่า เวลาพรุ่งนี้จะขึ้นไปเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ ทูลไกล่เกลี่ยเสียให้หายเหตุการณ์ที่เป็นการระวังด้วยกันทั้งสองฝ่าย ครั้นพระยาจำนงสรไกรนำความกราบทูลทรงทราบว่าสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ไปเฝ้า ค่ำลงประมาณ 8 ทุ่มเศษ กรมพระราชวังทิ้งละพระราชวังอิสริยยศ แลพระราชวงศานุวงศ์ ข้าราชการลงไปอาศัยกงสุลอังกฤษ ครั้งรุ่งขึ้น ณ วันเสาร์ เดือนอ้าย แรมสิบค่ำ ปีจอ ฉศก เวลาเช้าสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จึงให้ท่านเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ที่สมุหพระกลาโหม ลงไปเชิญเสด็จขึ้นมา ณ จวนสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ พร้อมด้วยท่านเจ้าพระยาบรมภูธราไภย ท่านเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ ท่านเจ้าพระยาภาณุวงศ์ ท่านเสนาบดี ก็ได้ทูลเหนี่ยวหน่วงเล้าโลมหลายอย่าง หลายประการ เพราะปรารถนาที่จะไม่ให้เสด็จกลับไปอาศัยบ้านกงสุลอังกฤษนั้น กรมพระราชวังบวรฯ ท่านก็มิได้ทรงเห็นชอบในถ้อยคำของสมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อเห็นพระอัทธยาไศรยบากบั่นไปดังนั้นแล้ว จึงได้ทูลวิงวอนชวนให้พักอยู่ที่จวนของท่าน อย่าได้เสด็จกลับลงไปอาไศรยบ้านกงสุลอังกฤษเลย ท่านก็มิยอมอยู่ที่จวน ก็เสด็จกลับไปด้วยเรื่องกงสุลอังกฤษ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จึงเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลพระกรุณา ซึ่งกรมพระราชวังบวรฯ ประพฤติเหตุนั้นทรงทราบทุกประการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบแล้ว ทรงพระกรรแสงเสียพระราชหฤทัยเป็นอันมาก เพราะเหตุการณ์ที่เป็นต่อกันนั้น ก็เป็นการระวังระแวงพระองค์ที่จะไม่ให้มีเหตุการณ์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายนั้น เพราะมีพระราชประสงค์ที่จะคอยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์กลับมาจากเมืองราชบุรีแล้ว จะได้ไกล่เกลี่ยให้เรียบร้อยเป็นปกติดีไปตามเดิม สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ก็เข้ามาถึงแล้ว ไม่ควรกรมพระราชวังบวรฯ จะเป็นไปได้ดังนี้เลย จึงได้โปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ลงไปเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ ให้ทูลเล้าโลมวิงวอนให้เสด็จกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง กรมพระราชวังบวรฯ ก็มิได้ทรงยินดีในถ้อยคำสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ที่ได้อุตส่าห์ติดตามลงทูลถึงบ้านกงสุลอังกฤษ ซึ่งกรมพระราชวังบวรฯ ละทิ้งพระราชวังและพระอิสริยยศ และพระราชวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน เสด็จพระเจ้าคุณเอมจอมมารดากับพระองค์เจ้าเนาวรัตน์ พระองค์เจ้าวงจันทร น้องหญิงหม่อมปริก ไปกับพระยาวิสูทโกษา พระยาสุรินราชเสนี พระยาจำนงสรไกร พระยาภักดีภูธร พระยาโยธาเขื่อนขันธ์ พระยาอัศดาเรืองเดช พากันลงไปอาศัยอยู่บ้านกงสุลอังกฤษ ปรารถนาที่จะเอาอำนาจอังกฤษไปข่มขู่ให้สมปรารถนา แลทำให้เสื่อมเสียพระราชประเพณีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นปฐมบรมราชวงศ์เสียไปดังนี้ พระบรมวงศานุวงศ์ ท่านเสนาบดี เคาน์ซิล ลอร์ออฟสเตต แลปรีวี่เคาน์ซิล ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ในพระบรมมหาราชวัง แลข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อยในพระราชวังบวรฯ จะเห็นความประการใดให้ว่ามาตามใจที่เห็น...”

ในที่สุดฉากการเมืองเรื่องนี้ก็ปิดลงจนได้เมื่อเซอร์แอนดูรว์ คลาร์ก ผู้สำเร็จราชการเมืองสิงคโปร์ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษได้เดินทางถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 3 ขึ้น 13 ค่ำ จ.ศ. 1236 (ปี 2417) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงให้การต้อนรับเซอร์แอนดูรว์ คลาร์กและคณะอย่างดียิ่ง ทรงมีรับสั่งกับเซอร์แอนดูรว์ คลาร์ก ว่า “...เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาภายในพระราชวังที่จะจัดการกันเองได้...” ซึ่งเซอร์แอนดูรว์ คลาร์ก ก็เห็นด้วยว่าไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้ามาแทรกแซงในปัญหาขัดแย้ง ที่ถือว่าเป็นการภายในของพระราชวงศ์ไทยพร้อมกันนั้นก็เห็นว่าพฤติกรรมของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญกับข้อเสนอของทางวังหน้านั้น เป็นเรื่องไร้เหตุผล “...เป็นการล่วงล้ำที่ไม่สมควรอย่างชัดเจนต่อสิทธิในอธิปไตยของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ...”

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (64)

นอกจากนี้ เซอร์แอนดูรว์ คลาร์ก ยังได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและได้แสดงความชื่นชมในพระราชกรณียกิจและความพยายามที่จะปรับปรุงประเทศของ “เจ้าชายหนุ่มผู้ชาญฉลาด” ทั้งยังได้กราบบังคมทูล “ยืนยันแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงสิทธิของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวในการควบคุมและออกพระราชบัญญัติทางการคลัง”

ในที่สุด กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ก็ทรงยอมรับคำประนีประนอม โดยเสด็จกลับพระบวรราชวังเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2417 รวมระยะเวลาที่กรมพระราชวังบวรประทับอยู่ที่สถานกงสุลอังกฤษ เป็นเวลา 1 เดือนกับ 26 วัน

ในการเสด็จกลับพระบวรราชวังของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระเกียรติยศเต็มที่ โปรดให้เสด็จประทับเรือเก๋งอันเป็นเรือพระที่นั่งของพระองค์กลับพระราชวังบวร เพื่อให้สมกับพระอิสริยยศ ดังลายพระราชหัตถ์ที่ทรงมีถึงกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ดังต่อไปนี้

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระยาธรรมจรันยานุกูลเกี่ยวกับการธรรมเนียมเข้าออกในพระบรมมหาราชวังอีก

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2