ละครฮิต นวนิยายดัง
ในวงการละครไทยการนำบทประพันธ์ในรูปแบบของนวนิยายมาสร้างเป็นละคร
โดย มัลลิกา
ในวงการละครไทยการนำบทประพันธ์ในรูปแบบของนวนิยายมาสร้างเป็นละคร จัดเป็นสัดส่วนที่มากกว่าสร้างบทละครโทรทัศน์ขึ้นใหม่
การเลือกนวนิยายมีหลายเหตุผลด้วยกัน ทั้งกระแสความนิยมต่อเรื่องนั้นๆ ผู้จัดละคร หรือสถานีโทรทัศน์ก็ซื้อมาเก็บไว้ก่อน บางครั้งสถานการณ์หรือความนิยมเปลี่ยนไปก็เก็บดองเรื่องนั้นๆ ไว้ไม่สร้างก็มี เสมือนว่าสังคม ผู้คนจะเป็นตัวกำหนดทิศทางละคร
รวมถึงนวนิยายดังของนักประพันธ์มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับมักจะถูกเลือก และเรื่องที่เคยสร้างมาแล้วได้รับความนิยมสูง ถึงเวลาเหมาะสมก็จะถูกนำมาสร้างอีกครั้ง เพราะอย่างน้อยๆ ก็การันตีฐานแฟนคลับได้และหวังยอดกลุ่มผู้ชมใหม่
ในงานเสวนา จากนวนิยายรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด สู่ละครดัง มี 3 นักเขียนมาร่วมแสดงทัศนะ คือ “กนกวลี พจนปกรณ์” นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย “จันทร์ยวีร์ สมปรีดา” (รอมแพง) นักเขียนรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 7 ผู้เขียนนวนิยาย บุพเพสันนิวาส และ “ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์” (ปราปต์) นักเขียนรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ครั้งที่ 12 ผู้เขียนนวนิยายกาหลมหรทึก
บุพเพสันนิวาสและกาหลมหรทึกถูกนำมาสร้างเป็นละคร
กาหลมหรทึกเป็นนิยายแนวสืบสวนสอบสวน โดยที่อ้างอิงสถานที่จริง เหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ช่วงประมาณปี 2486 และนำโคลงโลกนิติมาใช้เป็นกลโคลงในการสืบสวนสอบสวนด้วย
ปราปต์ได้เปิดใจถึงการส่งต่อนวนิยายสู่จอดิจิทัลว่า “จริงๆ ไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้จะสามารถนำมาเป็นละครไทยได้ โดยเฉพาะแนวสืบสวนสอบสวน ละครไทยไม่ค่อยทำ เป็นแนวที่คนดูละครไทยไม่ชอบดู
คุณศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์ ติดต่อมาจะเป็นคนเขียนบทแล้วก็เป็นโปรดิวเซอร์เอง ผมติดตามงานของพี่เขามานาน เราก็ยอม เขาต้องทำดีอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ได้หมดเลย เราอยากรู้ว่าเขาจะไปทำยังไง และหลังจากที่ได้พูดคุยกันก่อนที่จะทำบท สัมผัสได้ถึงว่าเขารักงานของเรา”
ด้านรอมแพงให้ความเห็นทำไมบุพเพสันนิวาสถึงถูกเลือก “คนไทยชอบพีเรียด เป็นเรื่องคอมเมดี้ คนไทยชอบอะไรที่มันไม่ค่อยเครียด
ความยากในการเขียนบุพเพสันนิวาส คือ การตรวจสอบข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เพราะว่าในยุคสมัยนั้นมีกระแสของประวัติศาสตร์หลายกระแสมาก คนหนึ่งมีทั้งดีและร้ายที่มันเป็นกระแสให้เราได้อ่าน ซึ่งมันก็จะยากตรงนี้เราจะเอาเหตุการณ์ส่วนไหนมาใส่ในนิยาย ที่จะเป็นการไม่ตัดสินว่าตัวนี้ดีหรือไม่ดีแต่เป็นการเหมือนเล่าให้ฟังว่ามันเคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นกับคนคนนี้ในบันทึกของเล่มนี้ แล้วมีเหตุการณ์ของคนคนนี้ในบันทึกอีกเล่มหนึ่ง โดยใช้ตัวเกศสุรางค์เป็นคนมอง แล้วก็ใช้ตัวละครทางประวัติศาสตร์เป็นคนกระทำ คือการบาลานซ์ตัวละครทางประวัติศาสตร์ไม่ให้เฉไปทางไหนอย่างชัดๆ เพื่ออยากให้คนอ่านได้ฉุกคิดว่าตกลงอันไหนจริง เขาเป็นคนยังไงแน่ ให้ศึกษาด้วยตัวเอง”
กนกวลี มองภาพรวมของนวนิยายที่นำมาสร้างสรรค์เป็นละคร “เรื่องของแต่ละช่องเขาจะคัดเลือกมา อยู่ที่การมองเรื่องด้านธุรกิจของเขา เขามีข้อมูลของเขาอยู่ว่ากระแสสังคมเป็นอย่างไร สภาพบริบทโดยรอบๆ เป็นยังไง เพราะมันเป็นเรื่องของการลงทุน แต่ทีนี้เราจะสังเกตเห็นว่าการทำละครในบ้านของเราก็เหมือนกับที่คุณรอมแพงบอก คือ มีแต่เรื่องสนุกสนาน
บางทีในสังคมของเรา ณ วันนี้มันมีลักษณะบางเรื่องบางราวที่นำเสนอโดยตรงไม่ได้ อันนั้นก็แล้วแต่เพราะมันถูกกดไว้ครอบไว้ไม่ให้นำเสนอโดยตรง เพราะฉะนั้นในการทำงานทางด้านวรรณกรรมนักเขียนจะเป็นคนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของผู้คน สะท้อนเรื่องราวปัญหาของสังคม บางทีงานที่ปรากฏเหล่านั้นก็เป็นการชี้นำด้วย ทีนี้มาถึงยุคปัจจุบันเราจะเห็นว่างานเขียนเหล่านี้ลดน้อยลงไป เพราะว่าขายไม่ค่อยได้คนไม่ค่อยอ่าน แต่กลายเป็นว่าชอบเรื่องสนุกสนานเฮฮา
ทีนี้ถ้าเราจะมองให้ดีนักเขียนเขาซ่อนไว้ในงานเขียน มันเป็นหน้าที่ของผู้อ่านเองที่จะต้องตีความให้ได้ ว่าในเรื่องนั้นเขาแฝงนัยอะไรไว้ เขาช่อนประเด็นอะไรไว้ เขาหมายถึงอะไร นวนิยายบางเรื่องสนุกสนานเฮฮา ไม่เห็นมีอะไร แต่ถ้าใครตีความลงไปอาจจะเห็นอะไรมากกว่านั้น
ยกตัวอย่างหนัง เรื่อง Shape Of Water ไม่ได้มีแค่ความสนุก แต่มันยังมีเรื่องราวซ้อนทับอยู่อีกตั้งหลายชั้นด้วย แล้วแต่ว่าคนจะตกันีไปกี่ชั้น เพราะฉะนั้นวันนี้เมื่อเราดูวรรณกรรมที่แปลมาเป็นละคร อย่ามองว่ามันเป็นเพียงแค่ความสนุก ลองตีความดูว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการให้อะไร อ่านแล้วดูแล้วได้อะไรมากกว่าความสนุกค่ะ”
บุพเพสันนิวาสเป็นปรากฏการณ์ระดับชาติ จนภาค 2 ต้องเร่งมือเพื่อให้ทันกระแส รอมแพงเผยถึงความคืบหน้าว่า “ตั้งชื่อเรื่องว่าพรหมลิขิตค่ะ ภาคสองนี้ก็คือตั้งชื่อแล้ววางตัวละครไว้ตั้งแต่ปี 2555 เป็นเรื่องในยุคของพระเจ้าท้ายสระค่ะ
หลังจากตอนจบจากเรื่องบุพเพสันนิวาสไปอีก 10 ปี ตอนจบของเรื่องบุพเพสันนิวาสลูกชายคนโตที่เป็นฝาแฝดอายุ 10 ขวบ ถ้าตอนนั้นลูกก็อายุ 20 ปี แต่ยังไม่ได้เขียนสักตัว (หัวเราะ)
จริงๆ ตอนแรกก็คิดว่ายังไม่เขียน เพราะข้อมูลกับอะไรหลายๆ อย่างยังไม่พร้อม พอบุพเพสันนิวาสเป็นกระแสขึ้นมา มันทำให้ข้อมูลต่างๆ พรั่งพรูมาที่เรา นักวิชาการบางท่านยินดีช่วยเหลือในการหาข้อมูลมาให้ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการที่เราจะเริ่มต้นเขียน”
การที่ละครถูกสร้างจากนวนิยาย ส่งผลให้นวนิยายเรื่องนั้นพลอยกลับมาถูกหยิบอ่านอีกครั้ง คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือก็หันมาให้ความสนใจ การที่ทั้งดูและอ่านจะให้อรรถรสต่างกัน และได้เห็นมุมต่างๆ ที่เสริมกันให้สนุกเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น เข้าใจที่มาที่ไป อารมณ์นึกคิดของตัวละคร หรือบางเรื่องอาจจะแตกต่างกันสิ้นเชิงก็มี เช่น เพิ่มตัวละคร เปลี่ยนคนร้ายเป็นคนดี เปลี่ยนตอนจบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะศาสตร์การเขียนและละครนั้นต่างกันนั่นเอง อย่าได้หัวร้อนกันไป


