ธรรมะที่ช่วยให้ ‘ฐิติภัสร์’ ประสบความสำเร็จ
มนุษย์ทุกคนต่างมีโจทย์ชีวิตที่ท้าทายและแตกต่างกันออกไป บางคนมีโจทย์ชีวิตที่แสนลำบาก บางคนโจทย์ชีวิตไม่ยากเย็นแถมสบายด้วย
โดย ราช รามัญ www.Facebook.com / nopraman
มนุษย์ทุกคนต่างมีโจทย์ชีวิตที่ท้าทายและแตกต่างกันออกไป บางคนมีโจทย์ชีวิตที่แสนลำบาก บางคนโจทย์ชีวิตไม่ยากเย็นแถมสบายด้วย ดังนั้นเส้นทางของชีวิตในคนแต่ละคนจึงมีความแตกต่างกัน ในความแตกต่างนี้ทุกต่างก็มีความคาดหวัง มีเป้าหมาย มีความคาดหวังในใจเหมือนกัน แม้ว่าจุดเรื่องของชีวิตจะต่างกันก็ตาม
แต่ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก สู้ชีวิตมาโดยตลอดกระทั่งประสบความสำเร็จ แต่เบื้องหลังของความสำเร็จนั้น มาด้วยสติและปัญญา ไม่ใช่ได้มาด้วยความดราม่า แม้ว่าชีวิตจะมีโจทย์ยากก็ตาม
คุณฐิติภัสร์ โฆษิตอธิพัชร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีฟาร์ม1973 ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำผึ้งแท้บริสุทธิ์ที่มากด้วยคุณภาพ และเป็นเจ้าของสวนเกษตรทฤษฎีใหม่ ในย่านวัชรพลอีกด้วย
“ส่วนตัวบี...ไม่ค่อยชอบการดราม่า แม้ว่าเราจะสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ที่เรายังเด็กอยู่ก็ตาม แต่เราไม่หยิบยกเอาเรื่องนั้นให้มาเป็นประเด็นที่น่าสงสารหรือน่าเห็นใจจากใครๆ อาจเป็นเพราะเรามองเข้าใจโลกและพบตัวเองได้ค่อนข้างเร็วกว่าผู้อื่น ในการใช้ชีวิตของบี เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ชัดเจน และเป็นเป้าหมายที่มีการกำหนดเวลาด้วยว่าจะต้องทำอย่างไรและแล้วเสร็จเมื่อไหร่ เมื่องานสำเร็จเราก็ถือว่ามีชีวิตที่สมบูรณ์ มีความพร้อมในการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่สิ่งที่นำพาให้มาถึงตรงนี้ได้ต้องบอกเลยว่าเป็นเพราะคำสอนของครูอาจารย์และญาติพี่น้องตลอดทั้งลูกค้าด้วยค่ะ ไม่มีใครทำอะไรสำเร็จเพียงลำพังในโลกนี้”
สำหรับแนวคิดเรื่องของการสร้างแรงบันดาลใจนั้น พอได้ฟังผมถึงกับอึ้งมาก...
“บีมักจะบิ๊วตัวเอง...คำของคนอื่นไม่มีประโยชน์ถ้าฟังแล้วอ่านแล้วไม่เอามาบิ๊วตัวเองเลย อย่างเวลาขึ้นเครื่องบินไปไหนมาไหน จะนึกในใจว่า มนุษย์สุดยอดมาก สามารถทำให้เราบินได้ ถ้าเราคิดในเรื่องนี้และทบทวนย้อนความถึงคนสร้างเครื่องบินคนแรกต้องบอกว่าเขาเพียรพยายามอดทนและขยันมากเพียงไหน ในเรื่องที่ใครๆ ก็คงจะมองว่าเป็นไปไม่ได้ในยุคสมัยนั้น”
ด้วยจุดนี้เอง...จึงเป็นเหมือนแรงผลักให้ตัวของเธอเอง...เดินหน้าอยู่เสมอ ไม่เคยคิดสร้างปมอะไรในใจ ไม่เคยคิดที่จะดราม่ากับใคร
“ลมหายใจเป็นของเรา เรามีลมหายใจของเราเอง จะไปยืมคนอื่นมาหายใจเพื่ออะไร แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงบอกเลยว่า ถ้าอยากจะพบกับสิ่งที่เรียกว่าอมตธรรมนั้น ก็จงอาศัยลมหายใจเข้าออกของตัวเองนี้แหละ ทำให้เกิดเป็นลมหายใจที่มากด้วยคุณภาพ จนกระทั่งตั้งมั่นด้วยสติ สมาธิ แล้วปัญญาจะบังเกิด
ส่วนตัวบีมองว่า เพราะมีปัญญาเราจึงรู้จักทำให้เกิดความสงบและมีสติตลอดทั้งปัญญา ไม่ใช่อะไรๆ ก็จะนั่งหลับตากันเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น การปฏิบัติธรรม ถ้ามองด้วยปัญญา เรามีสติตรงไหน เรามีสมาธิที่ตรงไหน ตรงนั้นคือการปฏิบัติธรรมทั้งหมดแหละค่ะ
เคยอ่านในสติปัฏฐาน 4 ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ให้มีสติรู้อยู่ในทุกๆ อิริยาบถ บีมองว่าถ้าเราสวดมนต์ นั่งสมาธิแล้ว พอเลิกจากกิจกรรมนั้น เราขาดสติ เราขาดความรู้สึกตัว จะมีประโยชน์อะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม บางครั้งคนสวดมนต์ยังไม่รู้ความหมายในคำสวดนั้นๆ เลยว่าคือ อะไร ไม่ใช่คำที่บ่งบอกเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์เลย แต่เป็นเรื่องของธรรมะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น
อีกอย่างหนึ่งบีเน้นอ่านหนังสือ ทั้งหนังสือในการพัฒนาตนเอง หนังสือในเรื่องของการใช้ชีวิต หนังสือที่เกี่ยวกับการพัฒนาจิตวิญญาณ สิ่งนี้ถือว่าทำให้เราเกิดสมาธิมากขึ้นเองโดยลำดับ ความจริงอีกอย่างเมื่อไหร่ที่เราต้องการสมาธิมากๆ เราก็ต้องพูดให้น้อยลง อยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น สมาธิและสติก็มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปนั่งทำอะไรเลย เว้นเสียแต่ว่าเราจะไปนิพพาน แบบนั้นก็ต้องฝึกกันเข้ม”
คนรุ่นใหม่ทุกวันนี้อยากสำเร็จเร็ว มองเรื่องนี้อย่างไร
“ทุกคนสามารถที่จะสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่จะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการใช้ชีวิต พยายามเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนให้มาก พยายามเป็นคนลงมือทำให้มากกว่าที่พูด และที่สำคัญเป้าหมายของชีวิตเราเองต้องชัดเจน เมื่อเราชัดเจนแล้วทุกอย่างก็จะชัดตามที่เราต้องการ
พระพุทธเจ้าสอนแล้วว่า อย่าไปนึกถึงอดีต...ไม่ว่าจะเป็นอดีตที่ดี อดีตที่ไม่ดี เพราะสิ่งนั้นมันไม่อาจช่วยเราในความนึกคิดในปัจจุบันได้อย่างแท้จริง อยู่ตรงนี้ มีความคิดความรู้สึกตรงนี้เพียงอย่างเดียวดีที่สุด ดีกว่าที่เราจะต้องไปนึกถึงอดีต”
ชัดเจนมากจริงๆ นี่เป็นแบบอย่างที่สามารถนำเอาไปต่อยอดได้ และทำตามได้จริง คนที่เข้าใจโลกเข้าใจธรรมบางครั้งไม่ต้องไปวัดวาอารามก็ได้ จะยืน เดิน นั่ง นอน ที่ไหนก็สามารถมีธรรมะได้ตลอดเวลา และเมื่อไหร่ที่มีธรรมะ เมื่อนั้นแลได้บุญกุศลและได้ปฏิบัติธรรมทุกวินาที


