หรือม่อจื่ออาจคือผู้ย้อนเวลา
โลกเราใบนี้บางทีก็เต็มไปด้วยเรื่องประหลาด มีนักคิดวิทยาการไม่น้อยที่ดูเสมือนถูกมนุษย์ต่างดาวส่งลงมาพร้อมไอเดียล้ำหน้า
โลกเราใบนี้บางทีก็เต็มไปด้วยเรื่องประหลาด มีนักคิดวิทยาการไม่น้อยที่ดูเสมือนถูกมนุษย์ต่างดาวส่งลงมาพร้อมไอเดียล้ำหน้า หรือไม่ก็คล้ายว่าเขาย้อนเวลามาจากอนาคต
ลีโอนาโด ดา วินซี ไอน์สไตน์ หรือสตีเฟน ฮอว์คิง ก็อาจจัดเป็นหนึ่งในนั้น แต่สำหรับจีนเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ก็คงจะมีแต่ม่อจื่อที่เข้าขั้น เอาเป็นว่าถ้าใครจะเป็นเซี่ยงเส้าหลง (ตัวละครในนิยายเจาะเวลาหาจิ๋นซี) ตัวจริง คนนั้นก็น่าจะเป็นเขา-ม่อจื่อ
ม่อจื่อ เดิมชื่อ ม่อตี๋ เขาเกิดหลังขงจื๊อเสียชีวิต 8 ปี เมื่อ 470 ปีก่อน คริสตศักราช ประวัติม่อจื่อออกจะเลือนราง มีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ฉบับทางการเพียงสั้นๆ บางคนตีความว่า ม่อจื่อ เป็นคนอินเดียหรืออาหรับ เพราะจากประวัติ (แบบไม่เป็นทางการ) ระบุว่า เขามีผิวดำต่างชาวจากชาวจีนทั่วไป จึงถูกขนานนามว่า “ม่อ” (&>2696;) ซึ่งแปลว่า “หมึก” แต่นักประวัติศาสตร์บางท่านไม่ตีความล้ำยุคแบบนั้น คาดเดาว่าม่อจื่อคงถูกลงโทษด้วยการสักหมึกไว้บนใบหน้า
ส่วนคำว่า “จื่อ” คนจีนเอาไว้เรียกผู้นำนักปราชญ์ นักคิดทั้งหลาย เดิมม่อจื่อเป็นช่างไม้ เขาได้ชื่อว่าเป็นนักประดิษฐ์ล้ำยุค ม่อจื่อใช้เวลาเพียงวันเดียวก็สามารถสร้างรถลากทุ่นแรงที่บรรทุกน้ำหนักได้ถึง 300 กิโลกรัม เท่านั้นยังไม่พอ ม่อจื่อใช้เวลา 3 ปี สร้างนกไม้อากาศยานไร้คนขับ ซึ่งสามารถบินอยู่ในอากาศได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 3 วัน เสียดายที่ไม่เหลือภาพสเกตซ์ต้นแบบ ไม่เช่นนั้นเราคงได้เห็นแล้วว่า “โดรน” สมัยม่อจื่อเป็นอย่างไร (สันนิษฐานว่าคงเป็นว่าวไม้ประเภทหนึ่ง) เนื่องจากสิ่งประดิษฐ์ข้างต้นไม่มีบุคคลที่ 3 และพยานวัตถุยืนยัน ทั้งหมดจึงเป็นได้แค่เรื่องเล่า หากเอาไปโม้ คนอื่นอาจจะหาว่าโม้...
...เอาเรื่องที่มีหลักมีฐานกว่านั้นมาพูดดีกว่า ตำราของม่อจื่อมีบันทึกไว้...“ปัจจัยของภาพเงากลับหัว คือ แดดเที่ยงวัน รูเล็กๆ และระยะโฟกัส... ภาพคนเกิดได้จากแสงฉายเป็นเส้นตรงดุจวิถีลูกธนู ฉายส่วนที่อยู่สูงลงมาด้านล่าง และฉายส่วนที่อยู่ล่างขึ้นไปด้านบน ด้วยแสงสว่างมาก ระยะโฟกัสเหมาะ และรูเล็กพอ จึงเกิดภาพในห้องมืด...” และนี่คือหลักฐานว่าม่อจื่อได้ศึกษา และอธิบายทฤษฎีการฉายภาพแบบกล้องรูเข็มเป็นคนแรกเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนการประดิษฐ์กล้องรูเข็มกว่า 1,200 ปี
แน่นอนว่าประโยคข้างต้น ผ่านการแปลแบบปรุงแต่ง (ม่อจื่อที่ไหนจะใช้คำว่าโฟกัส) แต่ต้นฉบับนั้นมีสาระไม่ต่างกัน ซึ่งแจกแจงปัจจัยและการทำงานละเอียดพอๆ กับข้อมูลของ “กล้องรูเข็ม” ในวิกิพีเดียไทยปี 2018 และหากอ่านให้ลึกไปอีกขั้น คำอธิบายของม่อจื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มมีจินตภาพเกี่ยวกับการเดินทางของอนุภาคโฟตอนแล้ว... (เอาล่ะ เอาให้เวอร์วังน้อยลงก็ย่อมได้ “เขาเริ่มมีจินตภาพเกี่ยวกับการเดินทางของ “แสง” แล้ว)
ความล้ำยุคของเขายังไม่หมด เขาศึกษาไม่เว้นแม้กระทั่ง Space และ Time ม่อจื่ออธิบายเรื่องเวลา ว่ามีลักษณะต่อเนื่องกันยืดยาวและเชื่อมโยง แม้อาจแบ่งช่วงเวลาให้เป็นหน่วยย่อยที่สุดที่ไม่สามารถแบ่งให้ย่อยไปกว่านี้ได้ แต่ก็ไม่สามารถตัดเวลาให้ขาดออกจากกัน ม่อจื่อยังบันทึกไว้ว่าการเคลื่อนที่ในจักรวาลนั่นก็คือ สภาวะที่ยึดโยงระหว่างพื้นที่และเวลาไปพร้อมกัน วัตถุเคลื่อนไหวจึงหมายถึงการเคลื่อนที่ทั้งตำแหน่งและเวลา บางประโยคในตำราม่อจื่อยังเผยแนวคิดว่า เวลามีต้นกำเนิด แต่เวลาไม่มีจุดสิ้นสุด ม่อจื่ออธิบายสิ่งต่างๆ เป็นหัวข้อๆ โดยไม่ได้แฝงนัยทางศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น! กว่าอารยธรรมมนุษย์จะมาถกและหาทฤษฎีพวกนี้กันจริงจัง ก็เมื่อไอน์สไตน์คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ และยอมรับว่าเวลาคือมิติที่ 4 และ Big Bang Theory ในช่วงร้อยปีก่อนหน้ายุคนี้นี่เอง
แน่นอนว่าม่อจื่อไม่ได้เขียนตำราอ่านง่าย เช่น A Brief History of Time และต้นฉบับคำอธิบายในตำราม่อจื่ออาจดูคลุมเครือ แต่นั่นก็เพราะภาษาจีนโบราณมีลักษณะถ่ายทอดความนัย ไม่ใช่อธิบายความคิด และศัพท์แสงที่จะอธิบายความซับซ้อนของทฤษฎีแบบนี้ยังต้องอาศัยวิวัฒนาการทางภาษา แต่สำหรับช่างไม้คนหนึ่งในยุค 2000 กว่าปีก่อนหน้านี้ การสังเกตและนิยามแสง Space และ Time ได้แบบนี้ ย่อมนับเป็นเรื่องอัศจรรย์ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จีนตั้งชื่อดาวเทียมที่ส่งขึ้นฟ้าในปี 2016 ว่า ดาวเทียม “ม่อจื่อ”
“ม่อจื่อ” ดวงนี้มีภารกิจศึกษาวิจัยควอนตัมฟิสิกส์ เพื่อวิจัยว่าควอนตัมสองอนุภาคจะมีปฏิกิริยาตอบสนองกันในทันที โดยไม่แคร์ความเร็วแสงใดๆ จริงตามทฤษฎีหรือไม่ ซึ่งการวิจัยนี้จะนำไปสู่การสื่อสารรูปแบบใหม่ ที่รวดเร็วและปลอดภัยจากการแฮ็กข้อมูลอย่างก้าวกระโดด และจัดเป็นการวิจัยควอนตัมระดับอวกาศเป็นครั้งแรกของโลก...ล้ำๆ แบบนี้จึงต้องชื่อ “ม่อจื่อ” เท่านั้น ตำราม่อจื่อยังบันทึกการศึกษาด้านฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ที่น่าสนใจมากมาย แล้วยังเติมเต็มตรรกศาสตร์ให้ปรัชญาจีน นักวิชาการว่าไว้ หากไม่มี “ม่อจื่อ” ตรรกศาสตร์ในปรัชญาจีนจะเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าในบัดดล...แต่เรื่องของม่อจื่อก็ยังเลือนราง เลือนรางมิใช่แค่เพราะความคิดเขาล้ำยุคจนยากจะหาใครในช่วง 2.000 ปีเข้าใจ แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะม่อจื่อคือนักคิดนักทำที่ลุกขึ้นมาค้านขงจื๊อแทบทุกประเด็น
ขงจื๊อว่าโลกจะสงบสุขได้ถ้าสังคมมีลำดับชั้น ประเพณีดีงาม และรสนิยม ม่อจื่อค้านว่าทั้งหมดที่ว่าถูกประกอบสร้างขึ้นมาขัดขวางความเป็นคนและไร้ประโยชน์ มิสู้ใช้เทคโนโลยี ขงจื๊อยอมรับในระบบการสืบทอดอำนาจโดยสายเลือด แต่ม่อจื่อค้านว่าผู้ปกครองต้องถูกเลือกขึ้นมาจากความสามารถ ขงจื๊อว่าความรักที่มีให้แก่กันมีความเข้มข้นจากคนในครอบครัวแล้วค่อยเจือจางเมื่อห่างตัวออกไปก็ไม่ประหลาด แต่ม่อจื่อค้านว่าความรักที่มีแก่มนุษยชาติต้องเท่าเทียม นอกจากนั้น ม่อจื่อยังต่อต้านการก่อสงคราม โดยกลุ่มของม่อจื่อจะใช้สติปัญญา ความสามารถและเทคโนโลยี หยุดยั้งสงครามให้ได้แต่หากจำต้องเกิด ขบวนการของม่อจื่อจะช่วยเหลือแคว้นที่ถูกระรานซึ่งอ่อนแอกว่าเสมอ
ถึงจุดนี้คงพอเห็นแล้วว่า ม่อจื่อมิได้ล้ำยุคแค่เรื่องวิทยาศาสตร์ แต่ยังล้ำยุคในทางการเมือง ซึ่งทั้งหมดทำให้ม่อจื่ออยู่ในสภาพเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายปกครองตลอด 2,000 ปีของจีน จิ๋นซีฮ่องเต้ผู้ “เผาตำราฆ่าบัณฑิต” ย่อมไม่ปล่อยให้ขบวนการต่อต้านสงครามอย่างสำนักม่อจื่อเหลือชื่อไว้ ส่วนแนวคิดที่ม่อจื่อให้รักทุกคนโดยเท่าเทียมกันถูกสำนักขงจื๊อลดรูปและโจมตีว่าเหมือนเดรัจฉานไม่รู้จักพ่อแม่ ด้วยข้อหารุนแรงขนาดนี้ชื่อของ ม่อจื่อจึงมีค่าเพียงแค่ “ปฏิปักษ์ของขงจื๊อผู้สูงส่ง” เพราะความล้ำยุคทางการเมืองกับเงื่อนไขของประวัติศาสตร์ จึงทำให้ปรัชญาและการศึกษาของม่อจื่อต้องเลือนรางไปพร้อมๆ กันเพื่อความเป็นกลางและสมจริงอีกนิด จึงขอเสริมด้วยว่าม่อจื่ออาจมิได้ล้ำยุคขนาดนั้น เขายังมีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ รวมถึงเรื่องชาตินี้ชาติหน้า (หรือม่อจื่ออาจจะมาจากยุคอนาคตกว่าเราที่รู้อะไรมากกว่ายุคนี้ก็เป็นได้)
อย่างไรก็ตาม ไม่มีบันทึกว่าม่อจื่อได้ประดิษฐ์กระทะปิ้งย่าง และในส่วนที่ว่าเขาได้คิดค้นหีบบัตรเลือกตั้งรึเปล่านั้น ก็อาจถูกจิ๋นซีฮ่องเต้สั่งชำระประวัติศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว


