ดาวคาโนปัส
หากพายุฤดูร้อนสงบลง ท้องฟ้าหลังดวงอาทิตย์ตกปลอดโปร่งพอให้เห็นดาวได้ นอกจากดาวเคราะห์สว่างสองดวง
โดย วรเชษฐ์ บุญปลอด
หากพายุฤดูร้อนสงบลง ท้องฟ้าหลังดวงอาทิตย์ตกปลอดโปร่งพอให้เห็นดาวได้ นอกจากดาวเคราะห์สว่างสองดวง คือดาวพุธและดาวศุกร์ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก เรายังจะเห็นดาวฤกษ์สว่างอีกหลายดวงอยู่บนท้องฟ้าเวลาหัวค่ำของเดือนนี้ ดาวสว่างที่อยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้าด้านทิศใต้มีชื่อว่าคาโนปัส
คาโนปัส (Canopus) เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดเป็นอันดับที่ 2 บนท้องฟ้าเวลากลางคืน รองจากดาวซิริอัสหรือดาวโจรในกลุ่มดาวหมาใหญ่ คาโนปัสมีอีกชื่อหนึ่งว่าแอลฟากระดูกงูเรือ (Alpha Carinae) เป็นชื่อตามบัญชีดาวของโยฮันน์ ไบเออร์ ชาวเยอรมัน ซึ่งคิดค้นวิธีเรียกชื่อดาวตามอักษรกรีก แล้วตามด้วยชื่อกลุ่มดาว เราเรียกบัญชีดาวนี้ว่าบัญชีเบเยอร์ตามผู้พูดภาษาอังกฤษ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าดาวสว่างอย่างซิริอัสในกลุ่มดาวหมาใหญ่กำลังส่องสว่างโดดเด่นที่สุดในเวลานี้ แสงของดาวเปลี่ยนจากน้ำเงินเป็นแดงและขาวสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากแสงหักเหและถูกเบี่ยงเบนไปมาขณะเดินทางผ่านบรรยากาศโลกอันปั่นป่วน ขณะเดียวกัน ดาวคาโนปัสก็โดดเด่นเช่นกัน แม้จะอยู่ต่ำใกล้ขอบฟ้ามากกว่า ประเทศไทยอยู่ในละติจูดต่ำพอที่จะเห็นดาวคาโนปัสได้ชัดเจน ขณะที่ยุโรปหรือตอนเหนือของอเมริกาเหนือสังเกตดาวดวงนี้ได้ยากกว่าหรือไม่มีโอกาสเห็น เพราะมีตำแหน่งใกล้ขอบฟ้าและมีเวลาสังเกตได้สั้นกว่าเรามาก
ดาวคาโนปัสอยู่ที่ตำแหน่งสูงสุดบนฟ้าในเวลาใกล้เคียงกันกับกลุ่มดาวนายพรานและดาวซิริอัส เวลานั้นภาคกลางของประเทศไทยจะเห็นดาวคาโนปัสมีมุมเงยเหนือขอบฟ้าราว 24 องศา ภาคเหนืออยู่ต่ำกว่านี้เล็กน้อย ขณะที่ภาคใต้อยู่สูงที่มุมเงยราว 30 องศา
หากเราไปอยู่ในซีกโลกใต้ นับตั้งแต่ประมาณเส้นละติจูด 37.3 องศาใต้ลงไป เช่น ส่วนใหญ่ทางใต้ของนิวซีแลนด์ ทางใต้ของชิลีและอาร์เจนตินา ดาวคาโนปัสจะวนรอบขั้วฟ้าใต้และปรากฏอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา ตรงกันข้าม ซีกโลกเหนือ นับตั้งแต่ประมาณเส้นละติจูด 37.3 องศาเหนือขึ้นไป ไม่มีโอกาสเห็นดาวดวงนี้ เพราะดาวคาโนปัสจะอยู่ใต้ขอบฟ้าตลอดเวลา
ดาวคาโนปัสอยู่ห่างออกไปในอวกาศไกลถึงราว 310 ปีแสง ไกลกว่าดาวซิริอัสที่อยู่ห่างเพียง 8.6 ปีแสง นั่นแสดงว่าแท้จริงแล้วดาวคาโนปัสแผ่พลังงานออกมามากกว่าดาวซิริอัสหลายเท่า หากเรานำดาวคาโนปัสมาวางที่ระยะห่างใกล้เคียงกับดาวซิริอัส คาดว่าดาวคาโนปัสจะมีความสว่างมากกว่าราว 600-700 เท่า
ดาวคาโนปัสกับดาวซิริอัสมีตำแหน่งอยู่ใกล้เคียงกันตามแนวเส้นที่ลากระหว่างขั้วฟ้าเหนือ (ซึ่งมีดาวเหนืออยู่ใกล้) กับขั้วฟ้าใต้ (นักดาราศาสตร์เรียกว่าแนวไรต์แอสเซนชั่นตามระบบพิกัดแบบหนึ่งของการระบุตำแหน่งดาวบนทรงกลมฟ้า คล้ายกับแนวลองจิจูดบนผิวโลก) ดาวทั้งสองจึงผ่านจุดสูงสุดบนท้องฟ้าในเวลาใกล้เคียงกัน สำหรับประเทศไทย เมื่อเราเห็นดาวซิริอัสอยู่สูงบนท้องฟ้า มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะเห็นดาวคาโนปัสอยู่บนท้องฟ้าด้วย
ผลการศึกษาพบว่าคาโนปัสมีพื้นผิวร้อนกว่าดวงอาทิตย์หลายพันองศาเซลเซียส จัดเป็นดาวยักษ์ใหญ่ ผลการวัดล่าสุดพบว่ามีขนาดราว 71 เท่าของดวงอาทิตย์ หากนำมาวางแทนที่ดวงอาทิตย์ รัศมีของดาวกว้างไกลเกือบจะถึงวงโคจรของดาวพุธ
ด้วยความสว่างที่มากของดาวคาโนปัส และตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลจากระนาบสุริยวิถีหรือระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ นอกเหนือจากดวงอาทิตย์แล้ว ดาวดวงนี้จึงถูกใช้เป็นดาวอ้างอิงอีกดวงหนึ่งสำหรับการวางตัวในอวกาศของยานอวกาศหลายลำ เพื่อให้สามารถหันเสาอากาศในทิศทางที่ถูกต้องสำหรับใช้ติดต่อสื่อสารกับโลก จินตนาการได้ว่าหากมีอารยธรรมของดาวดวงอื่นในละแวกใกล้เคียงกับระบบสุริยะภายในรัศมีราว 1,000 ปีแสง ดาวคาโนปัสน่าจะเป็นดาวสำหรับใช้อ้างอิงที่ดีที่สุดดวงหนึ่ง
ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (11-18 มี.ค.)
เวลาหัวค่ำหลังดวงอาทิตย์ตกมีดาวเคราะห์สว่าง 2 ดวง ปรากฏอยู่เหนือขอบฟ้าทิศตะวันตก ดาวพุธและดาวศุกร์อยู่ใกล้ขอบฟ้า สังเกตได้เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง โดยดาวศุกร์สว่างกว่า อยู่ทางซ้ายมือและมีมุมเงยต่ำกว่าดาวพุธเล็กน้อย แต่ด้วยความสว่างที่มากกว่าหลายเท่า คาดว่าจะสังเกตได้ง่ายกว่าดาวพุธ เราสามารถเห็นดาวเคราะห์ทั้งคู่ได้ก็ต่อเมื่อใกล้ขอบฟ้าไม่มีเมฆหมอกหนาบดบัง และไม่มีต้นไม้ ภูเขา หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดกีดขวาง จำเป็นต้องสังเกตตั้งแต่ท้องฟ้ายังคงมีแสงสนธยา และมีเวลาสังเกตได้ไม่นานก่อนที่ดาวเคราะห์ทั้งสองจะตกลับขอบฟ้าไปในเวลาอันสั้น
ดาวพุธและดาวศุกร์อยู่เคียงกันตลอดสัปดาห์นี้ที่ระยะห่างประมาณ 3-4 องศา วันที่ 15 มี.ค. เป็นวันที่ดาวพุธทำมุมห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุด หลังจากนั้นดาวพุธจะเริ่มเคลื่อนต่ำลงเมื่อเทียบกับดาวศุกร์ และเริ่มสังเกตได้ยากขึ้น เนื่องจากอยู่ใกล้ขอบฟ้ามากขึ้นและมีความสว่างลดลง
ดาวเคราะห์สว่างอีก 3 ดวง ได้แก่ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ สังเกตได้ดีในเวลาเช้ามืด ดาวพฤหัสบดีอยู่ในกลุ่มดาวคันชั่ง สว่างที่สุดในสามดวงนี้ ราว 5 ทุ่มเศษ ก็น่าจะเห็นดาวพฤหัสบดีอยู่ที่มุมเงยประมาณ 10 องศา เหนือขอบฟ้าทิศตะวันออก เยื้องไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ดาวอังคารออกจากกลุ่มดาวคนแบกงู เข้าสู่กลุ่มดาวคนยิงธนูซึ่งมีดาวเสาร์ปรากฏอยู่ ดาวอังคารจึงเคลื่อนเข้าใกล้ดาวเสาร์มากขึ้น
สัปดาห์นี้อยู่ในช่วงครึ่งหลังของข้างแรม มองเห็นจันทร์เสี้ยวอยู่บนท้องฟ้าทิศตะวันออกในเวลาเช้ามืด วันจันทร์ที่ 12 มี.ค. 2561 จะเห็นดาวเสาร์อยู่เกือบตรงกลางระหว่างดวงจันทร์กับดาวอังคาร หากสังเกตในเวลาเช้ามืดของทุกวัน จะเห็นดวงจันทร์เหลือเสี้ยวบางลงเรื่อยๆ พร้อมกับเคลื่อนต่ำเข้าใกล้ขอบฟ้ามากขึ้นเมื่อเทียบกับเช้ามืดของวันก่อนหน้า มีโอกาสเห็นได้ครั้งสุดท้ายในเช้ามืดวันศุกร์ที่ 16 มี.ค. โดยดวงจันทร์จะเหลือเสี้ยวบางมากและอยู่ใกล้ขอบฟ้าเมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง จากนั้นดวงจันทร์จะอยู่แนวเดียวกับดวงอาทิตย์ที่ตำแหน่งจันทร์ดับในวันที่ 17 มี.ค. 2561
สัปดาห์นี้มีวันสำคัญทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ควรจะพูดถึงคือวันพาย วันที่ 14 มี.ค. ถูกกำหนดเป็นวันพาย เนื่องจากใกล้เคียงกับค่าคงตัวเริ่มต้นจาก 3.14 แทนสัญลักษณ์ด้วยอักษรกรีก ซึ่งที่จริงเป็นค่าที่มีทศนิยมไม่รู้จบและไม่ซ้ำ (3.1415926...) สามารถใช้ในการหาค่าที่เกี่ยวข้องกับวงกลมและทรงกลม เช่น เส้นรอบวง พื้นที่วงกลม ถือว่าสำคัญมากในการคำนวณทางดาราศาสตร์
หัวค่ำวันเสาร์ที่ 17 มี.ค. 2561 อาจเป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยที่จะมีโอกาสเห็นสถานีอวกาศเทียนกง-1 โคจรผ่านเหนือท้องฟ้าประเทศไทย ก่อนที่จะตกสู่โลกในเร็วๆ นี้ (วันอื่นก็มีโอกาสเห็นได้ แต่อยู่ต่ำและสว่างน้อยกว่าวันนี้) กรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียงเห็นสถานีอวกาศเริ่มปรากฏใกล้ขอบฟ้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือในเวลา 19.20 น. จากนั้นเคลื่อนสูงขึ้นไปทางซ้าย ผ่านกลุ่มดาววัว นายพราน และหมาใหญ่ ถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่มุมเงย 74 องศา แล้วเคลื่อนต่ำลง หายไปในเงามืดของโลกที่เวลา 19.22 น. ขณะอยู่ที่มุมเงย 39 องศา (เวลาอาจคลาดเคลื่อนได้เนื่องจากวงโคจรมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว)
สำหรับสถานที่อื่นๆ คำนวณได้จากเว็บไซต์ www.heavens-above.com หรือสามารถค้นหาแอพพลิเคชั่นบนคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับพยากรณ์การเห็นดาวเทียมซึ่งจะแสดงแนวการเคลื่อนที่ของสถานีอวกาศและดาวเทียมหลายดวงบนฟ้า
สถานีอวกาศเทียนกง-1 ของจีนกำลังมีวงโคจรลดระดับลง ขณะนี้โคจรเป็นวงรีรอบโลกที่ความสูงประมาณ 234-256 กิโลเมตร บรรยากาศโลกทำให้สถานีอวกาศค่อยๆ ลดระดับของวงโคจรลง และหากไม่มีการควบคุม สถานีอวกาศจะตกที่ใดก็ได้ระหว่างละติจูด 43 องศาเหนือ ถึง 43 องศาใต้ การพยากรณ์บริเวณที่ตกล่วงหน้าเป็นเวลานานมีความไม่แน่นอนสูงเนื่องจากบรรยากาศโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะมีความแม่นยำมากขึ้นก็ต่อเมื่อใกล้เวลาตก ซึ่งล่าสุดแอโรสเปซคอร์เปอเรชั่นพยากรณ์จากข้อมูลเมื่อวันที่ 7 มี.ค. ว่าในกรณีที่ปราศจากการควบคุมใดๆ เทียนกง-1 จะเข้าสู่บรรยากาศโลกในวันที่ 3 เม.ย. 2561 โดยอาจคลาดเคลื่อนได้ราวหนึ่งสัปดาห์


