posttoday

อินโดนีเซีย เป้าหมายสู่การเป็น ศูนย์กลางทางการเงินอิสลามแห่งอาเซียน

28 กุมภาพันธ์ 2561

ดร.ศรัณย์ ศานติศาสน์คณะพัฒนาการเศรษฐกิจสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)www.econ.nida.ac.th; [email protected]ระบบการเงินอิสลามยังถือว่าเป็นทารก หากเปรียบเทียบกับระบบการเงินดั้งเดิม (Conventional Financial System) ที่วางอยู่บนรากฐานของดอกเบี้ย ธนาคารพาณิชย์อิสลามแห่งแรกเปิดตัวในปี ค.ศ. 1979ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในนาม Dubai Islamic Bank

ดร.ศรัณย์ ศานติศาสน์คณะพัฒนาการเศรษฐกิจสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)www.econ.nida.ac.th; [email protected]

ระบบการเงินอิสลามยังถือว่าเป็นทารก หากเปรียบเทียบกับระบบการเงินดั้งเดิม (Conventional Financial System) ที่วางอยู่บนรากฐานของดอกเบี้ย ธนาคารพาณิชย์อิสลามแห่งแรกเปิดตัวในปี ค.ศ. 1979ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในนาม Dubai Islamic Bank

ธนาคารอิสลามแห่งแรกของอาเซียนเกิดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย ในปี ค.ศ. 1983 โดยใช้ชื่อว่า Bank Islam กว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยความต้องการระบบการเงินการธนาคารที่ปราศจากดอกเบี้ย ซึ่งเป็นที่ต้องห้ามในศาสนาอิสลาม รวมทั้งรายได้จากการส่งออกน้ำมันของกลุ่มประเทศอาหรับ (Petroldollars) ทำให้ระบบการเงินการธนาคารดังกล่าวมีการเติบโตอย่าง ต่อเนื่องกว่าร้อยละ 15 ต่อปี มูลค่าสินทรัพย์กว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการเปิดสถาบันการเงินอิสลามทั้งในประเทศที่มุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ และมุสลิมเป็นประชากรส่วนน้อย

สำหรับอาเซียนมาเลเซียถือเป็นผู้นำทางด้านนี้ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมทางการเงินอิสลามที่สมบูรณ์ ทำให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางทางการเงินอิสลามแห่งอาเซียน เป็นแหล่งผลิต อบรม และพัฒนาบุคลากร นวัตกรรม และงานวิจัยที่สำคัญ อย่างไรก็ตามประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียซึ่งมีเจตจำนงทางการเมืองที่จะผลักดันส่งเสริมระบบการเงินอิสลาม รวมทั้งปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ทำให้มีศักยภาพและโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งนี้จากมาเลเซีย

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลกกว่า 200 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนประชากรมุสลิมทั้งหมด ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่เป็นตัวเงิน (Nominal Gross Domestic Product (Nominal GDP)) มีมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในลำดับต้นๆ ของภูมิภาคที่ร้อยละ 5 ต่อปี การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดตราสารหนี้ภาครัฐยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ การเจาะตลาดของธนาคารพาณิชย์ (Banking Penetration) ไม่ว่าจะระบบดั้งเดิมหรือระบบอิสลามยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ (มีเพียงร้อยละ 17 ของประชากรที่เคยได้รับสินเชื่อจากธนาคาร ธนาคารอิสลามมีส่วนแบ่งตลาดแค่ร้อยละ 5)

ความลึกของตลาดการเงิน (Financial Market Depth) ยังต่ำเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ ในภูมิภาค ไม่ว่าจะพิจารณาจาก มูลค่าของตลาดหลักทรัพย์ต่อ GDP ปริมาณการซื้อขายพันธบัตรต่อ GDP หรือมูลค่าการกู้ยืมระหว่างธนาคาร ต่อ GDP

อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินอิสลามของอินโดนีเซียยังคงต้องได้รับการพัฒนาอีกเยอะ ไม่ว่าจะเรื่องนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน กรอบระเบียบข้อบังคับ (Regulatory Framework) ทรัพยากรมนุษย์ ระบบไอที และกลยุทธ์ทางการตลาด โดยมีประเด็นสำคัญอย่างน้อย 5 ประเด็นที่ต้องได้รับการส่งเสริมและพัฒนา

หนึ่ง นวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองตลาดและเพิ่มสภาพคล่อง จะต้องมีการริเริ่มให้เกิดซูกุก (พันธบัตรอิสลาม) ในระดับรัฐบาลท้องถิ่น กระบวนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือซูกุก (Sukuk Ratings) การซื้อคืน (Repurchase Agreement) ที่ถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม (ในปัจจุบัน หนึ่งในผลิตภัณฑ์ ที่ได้รับความนิยมของธนาคารอิสลามประกอบไปด้วยสัญญาซื้อคืน อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องตามหลักการของศาสนายังคงเป็นที่ถกเถียง) การเพิ่ม ช่องทางให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงซูกุก โดยเฉพาะตลาดแรก (Primary Market) เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง สถาบันการเงินจะต้องขยายฐานลูกค้าไปที่นักลงทุนสถาบันต่างชาติทั้งที่เป็นสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมและแบบอิสลาม นอกจากนี้อนุพันธ์การเงินและฟินเทคอิสลามจะต้องได้รับการพัฒนาควบคู่ไปด้วย

สอง นโยบายเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการออกตราสารในตลาดแรกและการซื้อขายในตลาดรอง สำหรับทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อย เช่น การได้รับส่วนลดทางด้านภาษีจากองค์กรกำกับดูแลสถาบันการเงิน การลดหย่อนกฎเกณฑ์ให้กับกองทุนรวมและบริษัทจัดการลงทุนอิสลามโดยเฉพาะในช่วงแรก

สาม การสร้างมาตรฐานกรอบระเบียบข้อบังคับเพื่อสนับสนุนตลาด เช่น ผ่านนโยบายทางด้านภาษี การเพิ่มบทบาทของธนาคารพาณิชย์และ ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) ในการพัฒนาตลาดทุนอิสลาม

สี่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเทคโนโลยี ผ่านทางการให้การศึกษาแก่ผู้ที่สนใจจะเข้ามาทำงานในแวดวงการเงินอิสลาม และการฝึกฝนอบรมอย่างต่อเนื่องแก่ผู้ที่ทำงานในวงการนี้อยู่แล้ว การพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่เพิ่มความรวดเร็วและความสะดวกสบายแก่ลูกค้า เช่น การคัดกรองหุ้นอิสลาม ก็เป็นสิ่งที่มองข้าม ไม่ได้ และ

ห้า การให้ความรู้ทางด้านการเงินอิสลาม (Islamic Financial Literacy) โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท เพื่อให้ลูกค้าทราบถึงความเหมือนและต่าง พร้อมทั้งข้อดีของระบบการเงินอิสลามเมื่อเปรียบเทียบกับระบบดั้งเดิม นอกจากนี้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อดึงดูดประชากรที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งมีอยู่กว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด หรือ 20 กว่าล้านคน ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

แม้จะยังคงตามหลังมาเลเซีย แต่ด้วยความตั้งใจของภาครัฐ รวมทั้งปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ทำให้อินโดนีเซีย มีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงศูนย์กลางทางการเงินอิสลามแห่งอาเซียน สำหรับประเทศไทยนอกจากมาเลเซียแล้ว อินโดนีเซียจึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เราสามารถเรียนรู้แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทยครับ n

ข่าวล่าสุด

แข้งไทยช็อก! นำ 2 ตุง กลับพลิกแพ้ เวียดนาม 2-3 แค่รองแชมป์ซีเกมส์