รู้จักตลาดหุ้นจีน
หากพูดถึงประเทศจีนหลายท่านคงนึกถึงเศรษฐกิจที่เติบโตสูง 6-7%ต่อปี
โดย จันทร์เพ็ญ กิตติเวทย์วิทยากองทุนบัวหลวง
หากพูดถึงประเทศจีนหลายท่านคงนึกถึงเศรษฐกิจที่เติบโตสูง 6-7%ต่อปี ประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1,400 ล้านคน หรืออาจนึกถึงนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวในเมืองไทย สินค้าประทับตรา Made in China หรือแม้กระทั่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบา แต่หากพูดถึงเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศจีนแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่า ตลาดหุ้นจีนมีความยักษ์ใหญ่ไม่แพ้ตลาดหุ้นหลักใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น New York Stock Exchange, S&P500, Nasdaq
ประเทศจีนมีตลาดหุ้น 3 ตลาดหลัก ได้แก่ Shanghai Stock Exchange (SSE) Shenzhen Stock Exchange (SZSE) และ Hong Kong Stock Exchange (HKEX) โดยตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจีน คือ Shanghai Stock Exchange (SSE) ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกที่ 4.27 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นที่เหลือของจีน ได้แก่ Hong Kong Stock Exchange (HKEX) และ Shenzhen Stock Exchange (SZSE) ก็มีมาร์เก็ตแคปใหญ่เป็นอันดับ 7 และ 8 ของโลกเช่นกัน และหากรวมมูลค่าของทั้ง 3 ตลาดจีนเข้าด้วยกัน มูลค่ามาร์เก็ตแคปทั้งหมดจะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกที่ 10.88 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นรองจากอันดับ 1 อย่าง NYSE ของสหรัฐที่มีมาร์เก็ตแคป 19.6 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้น
จำนวนบริษัทของจีนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็มีรวมกันมากกว่า 4,300 บริษัท ซึ่งประมาณ 300 กว่าบริษัทของจีนได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นของสหรัฐด้วย แสดงให้เห็นว่าบริษัทในจีนหลายๆ บริษัทค่อนข้างมีศักยภาพในการเติบโตที่สูงมากและยังเป็นยักษ์ใหญ่ของตลาดหุ้นโลกด้วย เช่น Tencent Holdings และ Alibaba Group Holding ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทจีนที่ติด 10 อันดับแรกของโลกในแง่มูลค่ามาร์เก็ตแคป ที่ใหญ่ที่สุดในปี 2560
สำหรับหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาด Shanghai และ Shenzhen ยังแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ China A shares และ China B shares ความแตกต่างของ 2 ประเภทนี้ คือ แต่เดิม A shares จะมีไว้ให้นักลงทุนในประเทศเท่านั้นที่สามารถซื้อขายในตลาดนี้ได้ โดยราคาซื้อขายจะถูกอ้างอิงด้วยค่าเงินหยวนของจีน ส่วนนักลงทุนต่างประเทศที่อยากจะซื้อขายหุ้นจีนก็ต้องไปซื้อขายใน B shares เท่านั้น ซึ่งราคาอ้างอิงในการซื้อขายจะเป็นดอลลาร์ (ถ้าเป็นนักลงทุนจีนจะสามารถซื้อขายได้ทั้ง A shares และ B shares) แต่หลังปี 2556 เป็นต้นมา นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าไปซื้อขายในตลาด A shares ได้แล้ว ภายใต้กฎ Qualified Foreign Institutional Investor (QGII) ซึ่งจะมีการจำกัดโควตาการลงทุนสำหรับ นักลงทุนต่างชาติ เพื่อเป็นการควบคุมเงินทุนที่ไหลเข้าออกตลาดการเงินของจีน นอกจากนี้ บางบริษัทก็จดทะเบียนอยู่ทั้งสองตลาด คือ ทั้ง A shares และ B shares แต่ราคาหุ้นที่อยู่ในตลาด A shares มักจะสูงกว่าในตลาด B shares เนื่องจากนักลงทุนจีนไม่นิยมลงทุนใน B shares เนื่องจากซื้อขายด้วยดอลลาร์นั่นเอง
ต่อมาในปี 2557 และปี 2559 รัฐบาลจีนได้ผ่อนคลายการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นและเป็นการเปิดเสรีในตลาดเงินตลาดทุนมากขึ้น ผ่านการเชื่อมต่อการลงทุนในตลาดจีนและฮ่องกง หรือ Shanghai-Hong Kong Stock Connect และ Shenzhen-Hong Kong Stock Connect ตามลำดับ ทำให้ทั้งนักลงทุนชาวจีนสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดฮ่องกง และนักลงทุนต่างชาติหรือฮ่องกงสามารถซื้อขายหุ้นในตลาดจีนได้ง่ายขึ้นผ่าน Local Broker ของตนเอง และมีข้อจำกัดการลงทุนที่ลดลง
สำหรับผู้เล่นในตลาด China A shares ส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นนักลงทุนรายย่อย ซึ่งต่างจากดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ที่มีรายย่อยซื้อขายประมาณ 40% เท่านั้น ส่งผลให้ตลาดหุ้น China A shares มีความผันผวนและการซื้อขายเปลี่ยนมือค่อนข้างสูง ส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติใน China A shares นั้น ยังมีสัดส่วนที่น้อย 2% เท่านั้น เทียบกับ SET Index ของไทยที่มีนักลงทุนต่างชาติถือลงทุนอยู่กว่า 30% ซึ่งอาจเป็นเพราะข้อจำกัดทางด้านภาษา การเปิดเผยข้อมูล และการมี Capital Control ในอดีต ทำให้การเข้าถึงของนักลงทุนต่างชาติไม่สูงมาก แต่หลังจากที่รัฐบาลจีนเปิดเสรีทางการเงินมากขึ้น ก็ทำให้ตลาดหุ้นจีนเป็นที่น่าดึงดูดสำหรับการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติอย่างมาก ภายใต้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่สูง การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี การขยายการลงทุนและการค้าขายของบริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนออกมานอกประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


