น่าเสียดายอาคารประปาแม้นศรีที่เคยงามสง่า
เรื่องและภาพที่เสนอวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นภาพกรุงเทพฯ ในอดีตเกี่ยวกับการประปา
โดย ส.สต
เรื่องและภาพที่เสนอวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นภาพกรุงเทพฯ ในอดีตเกี่ยวกับการประปา ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระบรมราชโองการให้จ้างชาวฝรั่งเศสที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการวางระบบน้ำประปามาจัดสร้างระบบการประปาในสยามขึ้นเมื่อ 13 ก.ค. 2452 โดยสร้างสำนักงานใหญ่ที่สี่แยกแม้นศรี กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งแท็งก์น้ำประปาขนาดใหญ่คู่กัน 2 แท็งก์
ส่วนการเปิดบริการน้ำปะปานั้น ได้มีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ตรงกับวันที่ 14 พ.ย. 2456 ถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 105 ปี
สำนักงานใหญ่ที่แม้นศรีได้เปิดทำการตั้งแต่เวลานั้นถึง พ.ศ. 2529 จึงไปสร้างที่ทำการใหม่ที่บางเขน อ้างว่ามีผู้ใช้น้ำมากขึ้น และสำนักงานแห่งใหม่เปิดดำเนินการเมื่อ พ.ศ. 2533
ส่วนอาคารโบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พร้อมทั้งแท็งก์น้ำนั้น อยู่ในสภาพน่าหดหู่ใจ แม้ว่ารูปแบบสถาปัตยกรรมจะงดงามสะดุดตามากก็ตาม ทั้งนี้เมื่อไม่มีคนอยู่และใช้งาน อาคารไม่ว่าจะงามเลิศขนาดไหน ก็ย่อมทรุดโทรมไปตามกาลเวลาเช่นกัน ผมไปเห็นก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร นอกจากรำพึงว่าน่าเสียดาย
เมื่อเปิดอ่านข่าวย้อนหลัง พบว่าเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2559 หรือเกือบ 2 ปีมาแล้วกรุงเทพมหานครเคยประชุมคณะกรรมการปรับปรุงอาคารอนุรักษ์ในพื้นที่สำนักงานการประปาสาขาแม้นศรี (เดิม) ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 1/2559 เพื่อหารือแนวทางการจ้างเหมาออกแบบและรายละเอียด รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ ในการปรับปรุงอาคารอนุรักษ์ฯ โดยมี ปราณี สัตยประกอบ ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ร่วมด้วยผู้แทนจากสำนักการโยธา สำนักผังเมือง สำนักสิ่งแวดล้อม สำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ร่วมประชุม พร้อมทั้งบอกภูมิหลังว่าโครงการปรับปรุงอาคารอนุรักษ์ในพื้นที่สำนักงานการประปาสาขาแม้นศรี (เดิม) เป็นนโยบายสำคัญของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เมื่อดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแหล่งรวมข้อมูลและความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต รวมถึงประวัติความเป็นมาและความสำคัญของอาคารประปาแม้นศรีที่มีมายาวนาน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีความเห็นร่วมกันที่จะเสนอโครงการปรับปรุงอาคารอนุรักษ์ในพื้นที่สำนักงานการประปาสาขาแม้นศรี (เดิม) เป็นศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร ให้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ เนื่องด้วยพระองค์ท่านทรงสนพระทัยและให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านต่างๆ
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการจะนำมติที่ประชุมเสนอขอความเห็นชอบต่อผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และเสนอต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาความเหมาะสมต่อไป
ถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากขึ้นป้ายว่าบ้านอิ่มใจ ข้อมูลย้อนหลังว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ในขณะนั้น เปิดบ้านอิ่มใจเมื่อ พ.ศ. 2555 ช่วยเหลือคนเร่ร่อนให้มีที่พัก ซึ่งได้แก่บริเวณสำนักงานการประปาสาขาแม้นศรี (เดิม) บนเนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 64.70 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยรวม 1 หมื่นตารางเมตร โดยเป็นอาคาร 3 ชั้น แบ่งให้หญิงพักชั้น 2 ชายพักชั้น 3 รับวันละ 100 คน ผู้สมัครใจเข้าพักสามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้าพักด้วยตนเองเป็นรายวัน
อาคารที่ว่านั้นสร้างใหม่เมื่อการประปายังเปิดทำการที่นี่ เมื่อย้ายไปได้ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเช่า แต่ไม่ทราบว่าเลิกสัญญาเมื่อไร
ผมไปดูเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2561 นั้น พบว่าอาคารโบราณที่อยู่ด้านหน้าติดกับสี่แยก มันคืออาคารที่ถูกทิ้งร้างมากกว่าอาคารอนุรักษ์
ส่วนแท็งก์น้ำ 2 แท็งก์ ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นงานวิศวกรรมชั้นยอดในสมัยนั้น น่าจะอยู่ในสภาพที่ดี (ดูจากภายนอก) แต่จะหารายละเอียดมากกว่านี้ก็ลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่ รปภ.สั่งห้ามทุกอย่าง แม้กระทั่งถ่ายภาพมาประกอบบทความนี้
การที่นำเสนอวันนี้ เพื่อเรียกร้องให้กรุงเทพ มหานครที่รับมาดูแล ควรให้ความสนใจกับโบราณสถานที่เป็นศรีสง่าของแผ่นดิน ดีกว่าปล่อยให้ผุพังไปตามกาลเวลา ช่วยกันหน่อยเถอะครับ ไหนๆ ก็เป็นอัศวินแล้ว


