posttoday

สงสาร 'นิกสัน'

01 กุมภาพันธ์ 2561

นันทิยา วรเพชรายุทธในช่วงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของสหรัฐนับตั้งแต่ช่วงสงครามเวียดนามเป็นต้นมานั้น อาจกล่าวได้ว่าถ้าประธานาธิบดีของสหรัฐไม่ถึงขั้นเลวร้ายจนเกินไปนัก ก็จะไม่มีทางล้มแชมป์ความอื้อฉาวของอดีตประธานาธิบดี"ริชาร์ด นิกสัน" ลงได้ง่ายๆ

นันทิยา วรเพชรายุทธ

ในช่วงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของสหรัฐนับตั้งแต่ช่วงสงครามเวียดนามเป็นต้นมานั้น อาจกล่าวได้ว่าถ้าประธานาธิบดีของสหรัฐไม่ถึงขั้นเลวร้ายจนเกินไปนัก ก็จะไม่มีทางล้มแชมป์ความอื้อฉาวของอดีตประธานาธิบดี"ริชาร์ด นิกสัน" ลงได้ง่ายๆ

ชื่อของนิกสันกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง เพราะประจวบเหมาะกับที่ฮอลลีวู้ดเพิ่งฉายภาพยนตร์เรื่อง "The Post" ไปหมาดๆ โดยเข้าฉายในบ้านเรามาได้ไม่กี่สัปดาห์ หลังเรื่องนี้ซึ่งนำแสดงโดย เมอร์รีล สตรีพ และทอม แฮงส์ บอกเล่าเรื่องราวที่สื่อใหญ่ในสหรัฐอย่าง Washington Post ต่อสู้กับรัฐบาลนิกสันจอมโกหกในยุคสงครามเวียดนาม (ตอนปลาย)

นิกสันไม่ใช่ผู้นำสหรัฐคนเดียวที่โกหก ประธานาธิบดีสหรัฐต่างโกหกต่อๆ กันมาคนแล้วคนเล่า ทั้งรีพับลิกันและเดโมแครต เพราะไม่ต้องการยอมรับในยุคสมัยของตนเองว่าสหรัฐคือผู้แพ้ในสงครามเวียดนาม แต่ก็ต้องจนมุมเมื่อมีการแฉเอกสารลับของกระทรวงกลาโหม (Pentagon Papers) ที่มีแหล่งข่าวล้วงความลับออกมาให้กับนักข่าว ซึ่งนี่เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของการโกหกเท่านั้น ก่อนที่หนังจะทิ้งปมตอนท้ายไปสู่เหตุการณ์ใหญ่ในเวลาต่อมากับคดีวอเตอร์เกต (Watergate)

ตอนนี้ชื่อของนิกสันกำลังกลับมาอยู่ในพาดหัวสื่ออเมริกันหลายสำนัก เพราะมีการอ้างกันว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำตัวซ้ำรอย เหมือนนิกสัน (Nixonian - adj.) ที่โกหกเพื่อดิสเครดิตสำนักงานสืบสวนกลางหรัฐ (เอฟบีไอ) ผู้สืบคดีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐปี 2016

การดิสเครดิตที่ว่านี้ก็คือ ทำเนียบขาวอยากจะเปิดเผยบันทึกของคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งมีรายละเอียดที่บ่งชี้ให้เห็นได้ว่า ทั้งเอฟบีไอและกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (ดีโอเจ) ลำเอียงอย่างมีอคติกับทรัมป์ ระหว่างการสืบสวนเรื่องรัสเซีย ทำให้ทั้งเอฟบีไอ ดีโอเจ และกรรมาธิการจากพรรคเดโมแครต ต้องเปิดหน้าออกมาคัดง้างกับทำเนียบขาว โดยอ้างว่าบันทึกนั้นมีการแก้ไขดัดแปลงข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง

เคสนี้เป็นเรื่องยาวและมีความซับซ้อนทั้งเหตุการณ์และตัวละครหลากหลายที่อีนุงตุงนังกันไปหมด แต่พอสรุปได้คร่าวๆ ก็คือ หลังจากที่เปิดศึกกับสื่อ โดยโจมตีว่าเป็น Fake News ไปแล้ว คราวนี้ทรัมป์กำลังหันมาเปิดศึกภายในบ้างแล้ว

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หน่วยงานที่เปิดศึกด้วยนี้เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐ ซึ่งถือเป็นสถาบันที่มีความสำคัญอย่างมากต่อสังคมและการดำรงอยู่ของประเทศไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศาล

ถ้าเราไม่เชื่อในกระทรวงยุติธรรม เราจะเชื่อใครได้อีกในประเทศนี้

บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อไม่นานมานี้ ให้ความเห็นไว้ว่า การเปรียบทรัมป์กับนิกสันนั้นดูจะ "ไม่เป็นธรรม" เอาเสียเลยต่อนิกสัน ซึ่งผู้เขียนมองว่าเทียบกันไม่ได้ เพราะอย่างน้อยที่สุด นิกสันก็มีความรู้เรื่องความสำคัญของระบบกลไกรัฐบาลและรู้เรื่องกฎหมายดีกว่า ทำให้จบลงด้วยการหยุดเอง และประกาศลาออกในเวลาต่อมา

แต่บทความนี้ก็มีผู้แสดงความเห็นแย้งไว้อย่างน่าสนใจเช่นกันค่ะว่า ไม่ใช่เพราะนิกสันรู้กฎหมายดีกว่าหรือมีสามัญสำนึกมากกว่าหรอก แต่เป็นเพราะบรรดาผู้ใหญ่ในพรรครีพับลิกันสมัยนั้นมีความน่านับถือมากกว่า ที่กล้าออกมาค้านกับสิ่งที่เห็นว่า "เลยเถิดมากเกินไป" โดยเฉพาะ เอลเลียต ริชาร์ดสัน รมว.ยุติธรรม และวิลเลียม รัคเคลชอส์ รมช.ยุติธรรม ที่ยอมลาออกจากตำแหน่งเพื่อต่อต้านคำสั่งของนิกสัน ที่ปลด อาร์ชิบาลด์ ค็อกซ์ อัยการพิเศษในคดีวอเตอร์เกต

หนังเรื่องยาวในคดีรัสเซียแทรกแซงเลือกตั้ง จะจบลงอย่างไรและจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อยาวๆ ค่ะ n

ข่าวล่าสุด

ป.ป.ส. ผนึก DEA สหรัฐฯ เตรียมจัดประชุม Regional IDEC 2026 ที่เชียงราย