คอนเทนต์เกาหลียังแรง VIU มั่นใจไปต่อได้
เรื่อง | ณัฏฐ์ธยาน์ สุทธิเจริญหากเอ่ยถึงไอดอลเกาหลีในไทยคงเป็นที่รู้จักในยุคบุกเบิกมาหลายสิบปีแล้ว แม้ว่าช่วงพีกที่สุดในไทยคงจะเป็นเมื่อ 4-5 ปีก่อนที่เรียกได้ว่ามีการจัดกิจกรรมพาศิลปินเกาหลีมาไทยแทบทุกสัปดาห์ แต่ในส่วนของคอนเทนต์เกาหลีอย่างภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และรายการวาไรตี้นั้น ต้องยอมรับว่าจากพฤติกรรมในอดีตที่นิยมดูแบบผิดกฎหมายมาเป็นแบบถูกลิขสิทธิ์นั้น มีความชัดเจนจากการเข้ามาของธุรกิจ OTT เมื่อ 2-3 ปีเท่านั้น
เรื่อง | ณัฏฐ์ธยาน์ สุทธิเจริญ
หากเอ่ยถึงไอดอลเกาหลีในไทยคงเป็นที่รู้จักในยุคบุกเบิกมาหลายสิบปีแล้ว แม้ว่าช่วงพีกที่สุดในไทยคงจะเป็นเมื่อ 4-5 ปีก่อนที่เรียกได้ว่ามีการจัดกิจกรรมพาศิลปินเกาหลีมาไทยแทบทุกสัปดาห์ แต่ในส่วนของคอนเทนต์เกาหลีอย่างภาพยนตร์ ซีรี่ส์ และรายการวาไรตี้นั้น ต้องยอมรับว่าจากพฤติกรรมในอดีตที่นิยมดูแบบผิดกฎหมายมาเป็นแบบถูกลิขสิทธิ์นั้น มีความชัดเจนจากการเข้ามาของธุรกิจ OTT เมื่อ 2-3 ปีเท่านั้น
การเข้ามาของวิว (VIU) ผู้ให้บริการรับชมวิดีโอผ่านแอพพลิเคชั่นที่มีการรวบรวมคอนเทนต์เกาหลีกว่า 1 หมื่นชั่วโมงนั้น เริ่มต้นจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมของฮ่องกง หรือบริษัท PCCW (Pacific Century CyberWorks) และเพิ่งพัฒนาบริการนี้ให้แก่ลูกค้าที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2558 ที่ผ่านมา แต่กลับมีผู้ใช้งานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนกว่า 12 ล้านแอ็กทีฟยูสเซอร์ และดาวน์โหลด แอพนี้ไปแล้วกว่า 18.6 ล้านครั้ง ใน 15 ประเทศอย่างรวดเร็ว
ด้านประเทศไทยเองแม้จะถูกเลือกมาเปิดให้บริการเป็นประเทศที่ 15 เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2560 ที่ผ่านมา แต่การเติบโตก็แรงไม่แพ้กัน เพราะในระยะเวลาเพียง 3 เดือน มีการดาวน์โหลดไปใช้งานแล้วกว่า 1 ล้านครั้ง คาดว่าสิ้นปีนี้จะแตะ 1.5 ล้านดาวน์โหลดได้ไม่ยาก
ธวัตวงศ์ ศิลมานนท์ กรรมการ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท พีซีซีดับเบิลยู โอทีที (ประเทศไทย) เล่าให้ฟังว่าต้องยอมรับว่าผู้ให้บริการ OTT รายอื่นทำตลาดมาได้ดี แม้ว่าคอนเทนต์เกาหลีจะเป็นที่นิยมในกลุ่มคนไทย แต่พฤติกรรมในอดีตจะเป็นการรับชม คอนเทนต์แบบผิดกฎหมาย แต่เมื่อเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ก็มีลูกค้าบางกลุ่มปรับตัวและบอกต่อ ทำให้มีการยอมจ่ายเงินเพื่อใช้บริการอย่างถูกต้องและคุณภาพในการรับชมดีกว่าเดิม
แม้ว่าการรับชมคอนเทนต์แบบจ่ายค่าบริการตามการใช้งาน หรือ โอทีที (Over-the-Top:OTT) ยังเป็นเรื่องใหม่ ส่วนการรับชมคอนเทนต์ต่างชาติของไทยในอดีตจะต้องรอชมผ่านช่องฟรีทีวี ซื้อแผ่นซีดี หรือดาวน์โหลดมาเก็บไว้ในเครื่องแบบผิดกฎหมาย แต่น่าแปลกใจว่าเมื่อเป็นคอนเทนต์เกาหลีลูกค้าชาวไทยกลับยอมจ่ายเงินมากขึ้น
จากผลการสำรวจของ VIU พบว่าคนไทยเลือกใช้ VIU เป็นแอพพลิเคชั่นในการรับชมคอนเทนต์บันเทิงเกาหลี แต่ในระบบยังมีคอนเทนต์ญี่ปุ่นและอินเดียด้วย แต่แน่นอนว่า 90% ยังเลือกชมคอนเทนต์เกาหลีมากกว่า และการรับชมผ่าน VIU นอกจากจะได้คอนเทนต์ที่ถูกลิขสิทธิ์แล้ว ยังมีการแปลเป็นภาษาไทยอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง สำหรับรายการที่ออกอากาศแบบวันต่อวัน
นอกจากนี้ การรับชมจำนวนวิดีโอเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 17 วิดีโอ/วัน ถือว่ามากกว่าค่าเฉลี่ยของระดับภูมิภาคที่มีการรับชมอยู่ที่ 14.7 วิดีโอ/สัปดาห์ และผู้ใช้งานกว่า 80% ยังคงเป็นผู้หญิง อีก 20% เป็นผู้ชาย รับชมผ่านระบบปฏิบัติการไอโอเอสและแอนดรอยด์อย่างละ 50% แม้ว่าคอนเทนต์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเกาหลี แต่ในระบบมีซีรี่ส์ญี่ปุ่นและรายการวาไรตี้ของฮ่องกงให้รับชมด้วย
ด้านระยะเวลาในการรับชมคอนเทนต์เฉลี่ย 1.6-1.9 ชั่วโมง/คน/วัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคนี้ที่ 1.3-1.8 ชั่วโมง/คน/วัน ช่วงเวลาที่มีผู้ใช้บริการเฉลี่ยเริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น. และ 12.00 น. ซึ่งเป็นการรับชมระหว่างการเดินทางผ่านอุปกรณ์สื่อสารและช่วงพักจากการทำงาน ส่วนช่วงเวลาที่มีการรับชมสูงสุดของวันคือ 19.00-23.00 น. เป็นการรับชมผ่านเครือข่ายบรอดแบนด์ในที่พักอาศัย
ทั้งนี้ ผู้ใช้งานยังเลือกการรับชม VIU แบบฟรีเป็นสัดส่วนหลักเพราะยังคุ้นชิน ซึ่งบริษัทยังไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า VIU จะเข้ามาทดแทนการใช้งานแบบผิดกฎหมายได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทิศทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกค้ามาเป็นการจ่ายเงินตามการใช้งานนั้นดีขึ้น ส่วนพฤติกรรมการรับชม คอนเทนต์แบบผิดลิขสิทธิ์ก็เริ่มลดลง โดยลูกค้าจะเลือกซื้อแพ็กเกจเพื่อดูเฉพาะรายการที่ตนเองสนใจ หรือติดตามเฉพาะซีรี่ส์ที่สนใจ
ทางด้านแพ็กเกจของ VIU จะมีทั้งแบบฟรี รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน สามารถทดลองใช้งานฟรี 7 วันผ่านหน้าเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น หรือเลือกจ่ายค่าบริการ 119 บาท/เดือน ผ่านระบบปฏิบัติการหรือเลือกสมัครใช้งานผ่านเครือข่ายเอไอเอส ที่มีทั้งแบบ รายวัน 19-34 บาท แบบรายสัปดาห์ 29-199 บาท และรายเดือน 99-299 บาท
สำหรับพาร์ตเนอร์ของบริษัทก็มีหลายระดับ ซึ่งบริษัทจะเลือกสื่อสารตลาดโดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีความนิยมเกาหลีก่อน ยกตัวอย่างการเป็นเอ็กซ์ คลูซีฟกับเอไอเอสนั้น เพราะมองว่ามีลูกค้าช่วงอายุ 18-35 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่ใช้บริการของ VIU เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังจ่ายและใช้เครือข่ายนี้ ทำให้การจัดแพ็กเกจพรีเมียมหรือโปรโมชั่นสำหรับคนกลุ่มนี้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยาก
"การแจกแพ็กเกจส่วนใหญ่มักจะทดลองชมฟรี 1 เดือน ซึ่งลูกค้าอาจรู้สึกว่ายังไม่ทันได้ดูก็หมดช่วงโปรโมชั่นแล้ว เราจึงจัดระยะเวลา 3 เดือน เพื่อให้รู้สึกคุ้นเคยกับการรับชมซีรี่ส์ต่อเนื่องสักเรื่อง เมื่อครบช่วงโปรโมชั่นคนกลุ่มนี้ก็ยอมจ่ายเพื่อดูต่อทันที" ธวัตวงศ์ กล่าว
อัญชลี ชัยชนะวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท พีซีซีดับเบิลยู โอทีที (ประเทศไทย) กล่าวเสริมว่า ปีนี้ยังถือว่าเป็นช่วงของการทดลองตลาดในหลายๆ อย่าง ทั้งการเป็นสปอนเซอร์กิจกรรม การออกอีเวนต์ การเป็นพาร์ตเนอร์กับโอเปอเรเตอร์ สื่อสารการตลาดทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ส่วนในปีหน้ายังบอกไม่ได้ เพราะยังอยู่ในช่วงสรุปแผนงานที่ชัดเจนอยู่ แต่มั่นใจว่าเรื่องระบบการให้บริการคอนเทนต์เสถียรดีแล้ว ลูกค้าในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักที่ใช้งานเริ่มหันมาใช้ VIU แล้ว ขั้นต่อไปก็ยังคงทำกิจกรรมทางการตลาดต่อเนื่อง คัดสรรคอนเทนต์จากอินเดียและญี่ปุ่นมาแนะนำให้ลูกค้ารู้จักมากขึ้น
นอกจากนี้ จุดเด่นของ VIU เป็นผู้ให้บริการ OTT เพียงรายเดียวในเอเชียที่ได้รับสิทธิในการเผยแพร่ข่าวจากสื่อชั้นนำของเกาหลี ได้แก่ TV Daily และ Dispatch จึงมีการนำเสนอข้อมูลได้แบบเอ็กซ์คลูซีฟแก่ลูกค้าที่มาใช้งาน แม้ว่าทีมงานส่วนใหญ่ของบริษัทจะมีอยู่ประมาณ 20 คน ที่ช่วยกันดูแลเรื่องการตลาด แต่บริษัทได้มีการจ้างทีมเอาต์ซอร์สในการบริหารจัดการคอนเทนต์ ทำซับไตเติล และสร้างกิจกรรมให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของ VIU
เมื่อมองถึงภาพรวมของบริษัท หลังจากทางบริษัทแม่คือ PCCW ระดมทุนเพิ่มได้อีกกว่า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้นยังไม่ได้มีการประกาศชัดเจนว่าจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้ในการทำอะไรบ้าง ซึ่งจากการให้ข้อมูลของ เจนีซ ลี ผู้บริหารใหญ่ ของ PCCW Media จะเน้นในเรื่องของการเพิ่มเนื้อหาใหม่ๆ ทั้งการผลิตคอนเทนต์เองในฮ่องกง อินเดีย และอินโดนีเซีย การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการแปลซับไตเติลให้ดีขึ้น เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่และมองโอกาสทางรายได้ใหม่ๆ จากการโฆษณาและการจ่ายค่าบริการของลูกค้ามากขึ้น
เส้นทางการให้บริการของโอทีทีจะสดใสหรือไม่ นอกจากเรื่องข้อกฎหมายแล้วก็คงอยู่ที่การปรับตัวของผู้ใช้งานว่าจะยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อของถูกลิขสิทธิ์หรือไม่ เพราะของผิดกฎหมายที่ฟรีนั้นช่างเย้ายวนใจคนรุ่นใหม่เสียเหลือเกิน n


