ชีววิถี เฮิร์บ วิสาหกิจชุมชนต้นแบบ
ปิยนุช ผิวเหลืองวิสาหกิจชุมชนชีววิถี ต.น้ำเกี๋ยน อ.ภูเพียง จ.น่าน ตัวอย่างวิสาหกิจชุมชนต้นแบบ จากความคิดรวมตัววิสาหกิจเพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคใช้ในครัวเรือน สู่ธุรกิจหลักของชุมชน ทั้งเตรียมโกอินเตอร์ ส่งออกสินค้าต่างประเทศในปี 2561
ปิยนุช ผิวเหลือง
วิสาหกิจชุมชนชีววิถี ต.น้ำเกี๋ยน อ.ภูเพียง จ.น่าน ตัวอย่างวิสาหกิจชุมชนต้นแบบ จากความคิดรวมตัววิสาหกิจเพื่อผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคใช้ในครัวเรือน สู่ธุรกิจหลักของชุมชน ทั้งเตรียมโกอินเตอร์ ส่งออกสินค้าต่างประเทศในปี 2561
ศิรินันท์ สารมณฐี ผู้จัดการกลุ่มชีววิถี ต.บ้านเกี๋ยน อ.ภูเพียง จ.น่าน เล่าถึงทีมาการก่อตั้งวิสาหกิจชุมชนว่า เริ่มต้นชาวบ้านในชุมชนต้องการนำสมุนไพรที่มีอยู่จำนวนมากในพื้นที่ มาผลิตเป็นสินค้าอุปโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ยาสระผม โลชั่น เพื่อลด รายจ่ายในครัวเรือน อีกทั้งลดการใช้สารเคมีกับร่างกาย โดย ได้รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนชีววิถี จดทะเบียนก่อตั้งในปี 2551 ด้วยจำนวนสมาชิก 79 คน ระดมเงินเบื้องต้นประมาณ 8 หมื่นบาท จึงได้ลงทุนผลิตน้ำยาอเนกประสงค์และแชมพูใบหมี่ ผสมดอกอัญชัน สูตรดั้งเดิมตามภูมิปัญญาท้องถิ่น
ทั้งนี้ แต่ละผลิตภัณฑ์ ผลิตจากสมุนไพรในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นใบหมี่ ดอกอัญชัน มะเฟือง มะกรูด มะขาม ขมิ้นชัน จึงเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บสมุนไพรขาย โดยวิสาหกิจชุมชน ชีววิถี จะรับซื้อสมุนไพรที่ปลูกโดย ไม่ใช้สารเคมี ขณะที่เมื่อประกอบกิจการระยะหนึ่ง สินค้าเริ่มเป็นที่ยอมรับ มีบริษัทติดต่อจ้างผลิตสินค้ามากขึ้น ดังนั้นปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนชีววิถี มีรายได้จากการรับจ้างผลิต (โออีเอ็ม) ประมาณ 40% และรายได้จากการสร้างแบรนด์ของตนเอง 60% ภายใต้ 2 แบรนด์หลัก คือ ชีวาร์ และชีวาน่า อีกทั้งกลุ่มสมาชิกวิสาหกิจชุมชนขยายเพิ่มขึ้นเป็น 700 ราย
ศิรินันท์ เล่าย้อนว่า เริ่มแรกสินค้าเป็นผลิตภัณฑ์โอท็อป แต่เมื่อเริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในโมเดิร์นเทรด จึงสร้างแบรนด์ ชีวาน่า เพื่อวางจำหน่ายในท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต ในปี 2557 เป็นสินค้าพรีเมียมจับกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางถึงระดับบน โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 259 บาท หลังจากนั้นได้แตกแบรนด์ภายใต้ ชื่อ ชีวาร์ จับตลาดกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป จัดจำหน่ายทั้งโมเดิร์นเทรด และช่องทางออนไลน์ โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 169 บาท ทั้งนี้เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น จึงได้จดทะเบียนเป็นบริษัท ชีววิถี เฮิร์บ ในปี 2558 เพื่อความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ
"เมื่อเราเริ่มจากวิสาหกิจชุมชน การจดทะเบียนบริษัทต้องทำอย่างระมัดระวัง เพราะเราไม่สามารถนำรายชื่อสมาชิกทุกคนร่วมถือหุ้นทั้งหมด ดังนั้นการจัดทำบัญชีต้องโปร่งใส และตกลงร่วมกันในกลุ่มทุกครั้งก่อนที่จะดำเนินกิจกรรม ภายใต้ บริษัท" ศิรินันท์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความสำเร็จในปัจจุบัน ต้องผ่านอุปสรรคนานัปการ ศิรินันท์ เปิดเผยว่า ความท้าทายในการพัฒนาสินค้าปีแรกๆ คือ การควบคุมคุณภาพของสินค้าจึงได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการถ่ายทอดความรู้ เปลี่ยนจากการนำสมุนไพรมาผลิตโดยตรง เป็นการสกัดสมุนไพรใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ในขณะที่ประสิทธิภาพของสมุนไพรไม่ลดลง โดยปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนชีววิถี ได้ผลิตสินค้ามากกว่า 30 ชนิด ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุด คือ แชมพูผสมใบหมี่ ลดการหลุดร่วงของเส้นผม
สำหรับเป้าหมายในอนาคต ธุรกิจเตรียมบุกตลาดต่างประเทศ ในปี 2561 ภายใต้การดำเนินของบริษัท ชีววิถี เฮิร์บ และพัฒนาศักยภาพ ของบุคลากร โดยวางแผนให้ทุน การศึกษาแก่พนักงาน หรือเยาวชนในพื้นที่ศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์ เครื่องสำอาง และกลับมาบริหารงานในชุมชนต่อไป


