แฮปปี้ฟาร์มเมอร์ส สุขทั้งเขาและดีต่อเรา
คนไทยกว่า 1 ใน 3 หรือราว 20 ล้านคนมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
โดย กั๊ตจัง
"คนไทยกว่า 1 ใน 3 หรือราว 20 ล้านคนมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทว่าภาคการเกษตรของทั้งประเทศสามารถสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจได้เพียงแค่ 10% ซึ่งหมายความว่าคนไทยในภาคการเกษตรกำลังจนลงเมื่อเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ และนี่คือที่มาของความเหลื่อมล้ำ และแรงผลักดันที่ส่งให้ผมมาทำงานที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรไทย เพื่อเข้าใจและสามารถแก้ปัญหาจากต้นเหตุ ในนามแฮปปี้ฟาร์มเมอร์ส" อชิตศักดิ์ พชรวรณวิชญ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้บริหารแฮปปี้ฟาร์มเมอร์ส เล่าถึงความมุ่งมั่นที่จะลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชุมชนเกษตรกรรมกับชุมชนเมืองผ่านการดำเนินธุรกิจของเขา
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อ อชิตศักดิ์ ในวัย 29 ปี ลาออกมาจากบริษัทกลับมาทำธุรกิจ และมองหาธุรกิจที่มีความหมายทั้งกับตัวเองและสังคม เขาพบว่าหลายๆ ปัญหาของสังคมเกิดขึ้น ก็เพราะสังคมมีความเหลื่อมล้ำ จึงตั้งเป้าที่อยากจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาสังคม โดยใช้กลไกการทำธุรกิจ มุ่งไปที่ต้นเหตุมากกว่าที่ปลายเหตุ และเลือกที่จะช่วยคนที่อยู่ในภาคการเกษตรของไทย เพราะยังคงเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของคนทั้งประเทศ จึงเกิดโมเดลธุรกิจเพื่อสังคมอย่าง แฮปปี้ฟาร์มเมอร์ส
อชิตศักดิ์ อธิบายรูปแบบแพลตฟอร์มการดำเนินธุรกิจของแฮปปี้ฟาร์มเมอร์สว่า บริษัทเน้นการทำงานใน 3 รูปแบบหลัก คือ ออนไลน์ ฟาร์เมอร์ มาร์เก็ต เปิดช่องทางออนไลน์ให้เกษตรกรอินทรีย์ที่เพิ่งเริ่มต้นสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง และไม่คิดค่าธรรมเนียมการขายเพื่อให้เกษตรกรได้ประโยชน์มากที่สุด
ต่อมาคือ โซเซียล โปรดักต์ เกิดจากความต้องการช่วยแก้ปัญหาสังคมในชุมชนเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ให้พวกเขาพัฒนาเป็นสินค้าเพื่อสังคมโดยการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่โดยตรงในราคาที่เป็นธรรม รายได้เหล่านี้จะส่งไปยังเกษตรกรที่สร้างผลกระทบทางสังคมในพื้นที่ของตน ทำให้การซื้อสินค้าทุกชิ้นมีผลช่วยให้ปัญหาสังคมในแต่ละพื้นที่ที่แฮปปี้ฟาร์มเมอร์สทำงาน
สุดท้ายคือการทำคราวด์ ฟันดิ้ง แพลตฟอร์ม ฟอร์ ไทย ฟาร์เมอร์ส (Crowd Funding Platform for Thai Farmers) ปัญหาเงินทุนของเกษตรกรไทยยังเป็นปัญหาสำคัญในการเริ่มต้นฤดูกาลทำเกษตรของทุกปี และส่วนใหญ่ยังพึ่งพาหนี้นอกระบบเป็นสำคัญ ในขณะที่ชาวเมืองที่ต้องการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าการออมทรัพย์ วิธีนี้จึงเชื่อมโยงความต้องการของทั้งสองฝ่ายให้เข้ากัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเงินและสังคมสูงสุด
"ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ช่วยให้พื้นที่นากว่า 27 ไร่ หรือกว่า 20 ครัวเรือนในบุรีรัมย์ เปลี่ยนจากนาเคมีเป็นนาอินทรีย์ได้สำเร็จ โดยสามารถให้ราคาข้าวเปลือกได้สูงถึง 2.5 หมื่นบาท/ตัน กับทั้ง 12 สายพันธุ์ ที่ชาวนานำมาเข้าโครงการ ในด้านผลิตภัณฑ์ เกิดของขวัญเพื่อสังคม 3 โครงการ ได้แก่ "ข้าวอินทรีย์เปลี่ยนชีวิต" (Organic Rice for the Better Lives)
สนับสนุนให้ชาวนาภาคอีสานเปลี่ยนจากนาเคมีเป็นนาอินทรีย์ได้สำเร็จตั้งแต่การปลูกจนถึงการทำตลาดและการขาย ประกอบด้วยชุดของขวัญข้าวอินทรีย์ 4 เซต "กาแฟปลูกป่า" (Coffee Grows a Forest) ส่งเสริมการรักษาและขยายพื้นที่ป่าดิบชื้นด้วยวิธีการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ใหญ่ ประกอบด้วยชุดของขวัญกาแฟอินทรีย์ 3 เซต และ "จากฝิ่นสู่ฝ้าย" (From Fhin to Fhai) แก้ปัญหาการปลูกฝิ่นอย่างผิดกฎหมายด้วยการส่งเสริมอาชีพทอผ้าฝ้ายแทนการปลูกฝิ่น" ผู้บริหารหนุ่มเล่าถึงผลงานที่ผ่านมา
สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต อชิตศักดิ์ เล่าต่อว่า เขาได้วางกลยุทธ์ที่จะยกระดับผลิตภัณฑ์ทางสังคมเป็นพรีเมียมแมส ซึ่งมีลักษณะคล้าย กับสตาร์บัคส์ หรืออิเกีย เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และตอบสนองความช่วยเหลือได้ในวงกว้างมากขึ้น ส่วนคราวด์ ฟันดิ้ง ในอนาคตจะเป็นอีกช่องทางที่บุคคลทั่วไปและองค์กรสามารถลงทุนและหวังผลตอบแทนได้จริง
ในขณะที่เกษตรกรจะเลือกใช้ช่องทางนี้เป็นช่องทางแรกในการหาแหล่งเงินทุนในอนาคต ตลอด 2 ปีกว่าของการทำธุรกิจเพื่อสังคม ออนไลน์ ฟาร์เมอร์ มาร์เก็ต ใช้เงินทุนสูงที่สุดเพื่อทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ทว่าขนาดตลาดและความต้องการของสินค้าอินทรีย์ยังจำกัดทำให้ยอดขายไม่สูงนัก จึงเป็นอุปสรรคสำคัญในการขยายตลาดนี้
แต่อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาบริษัทได้รับความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ สั่งซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์การเกษตรเป็นอย่างดี ล่าสุดได้รับการสนับสนุนการผลิตตั้งแต่ต้นฤดูกาลและรับซื้อผลิตผลในราคาสูงถึง 2.5 หมื่นบาท/ตัน ทำให้ชาวนามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งรายได้ สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีความท้าทายอีกหลายอย่างที่จะต้องเรียนรู้และพัฒนา เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว


