ผู้ชนะ (ไม่ได้) เขียนประวัติศาสตร์
มีคำพูดถึงที่ผมเห็นแล้วหงุดหงิดมาก แต่คนชอบยกขึ้นมาอวดกันคือคำว่า "ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์"
โดย กรกิจ ดิษฐาน
มีคำพูดถึงที่ผมเห็นแล้วหงุดหงิดมาก แต่คนชอบยกขึ้นมาอวดกันคือคำว่า "ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์" (History is written by the victors) คำพูดนี้ฟังดูเท่แต่มันตื้นเขิน ในวงการประวัติศาสตร์เขาจะไม่ยอมรับคำพูดนี้เด็ดขาด ยิ่งในต่างประเทศยิ่งเย้ยหยันไยไพว่าเป็นคำพูดที่บั่นทอนปัญญา คำพูดนี้ตั้งอยู่บนฐานความคิดที่ว่า ผู้ชนะจะทำลายหลักฐานทั้งหมดแม้แต่ชีวิตของผู้แพ้ จนอีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้แก้ต่างในทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมันจริงเสียที่ไหน ต่อให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนผู้แพ้ไม่เหลือสักคน ก็ยังมีหลักฐานวัตถุและพยานชาติอื่นๆ เป็นปากเป็นเสียงแทนได้
แม้แต่พงศาวดารที่เขียนเอียงๆ ไปทาง ผู้ครองราชวงศ์ก็ยังถูกท้าทายด้วยบันทึกหลักฐานอื่นๆ ได้เช่นกัน หรืออาจได้รับการสนับสนุนได้เช่นกัน ใช่ว่าพงศาวดารหลวงจะท้าทายไม่ได้ ปัญหาก็คือแทนที่จะมีคนหาหลักฐานที่อยู่หมัดมาคัดค้าน มักจะอ้างชุ่ยๆ ว่า "ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์" แล้วก็ลอยตัวเหนือวิวาทะที่เป็นวิชาการ
ผมคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์นิพนธ์ (การเขียนประวัติศาสตร์) ตามขนบจีน พอจะบอกได้ว่า แม้ราชวงศ์ใหม่จะชิงอำนาจจากราชวงศ์ก่อน แต่ในงานด้านประวัติศาสตร์ พวกวงศ์ใหม่จะทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเขียนเอาดีเข้าตัว เอาชั่วมาป้ายสีพวกกลุ่มอำนาจเดิม เพราะใช้หลักฐานบันทึกรายวันจากราชวงศ์ก่อนๆ เช่น ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ซ่ง เขียนโดยพวกมองโกลแห่งราชวงศ์หยวนก็ใช้เอกสารของพวกซ่ง ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยวน เขียนโดยพวกฮั่นแห่งราชวงศ์ หมิง ก็ใช้เอกสารของพวกมองโกลนั่นเอง จึงค่อนข้างมีความตรงไปตรงมา เสียแต่ว่าบางครั้งพวกราชวงศ์ใหม่เกิดกระดากใจอาจละชื่อของขุนศึกวงศ์ก่อนที่เอาชนะตัวเองได้ แต่ใช่ว่าจะซ่อนความจริงทั้งหมดได้ เพราะตำราประวัติศาสตร์อื่นๆ ก็ยังมีชื่อและวีรกรรมเหล่านั้นอยู่ดี
นี่คือวิธีที่ "ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์" ในจีน จนแล้วจนรอดก็ต้องเขียนอย่างไม่ใช่ผู้ชนะและมองเหตุการณ์ด้วยสายตาเป็นกลาง เพราะสังคมจีนยึดมั่นในหลักวิชาการสำนักหยู การบิดเบือนทางวิชาการนั่นมีโทษร้ายแรง คือถูกปัญญาชนรุ่นหลังตราหน้าไปชั่วนิรันดร์ แม้แต่พวกมองโกลที่ไม่สนใจวิชาการนัก ก็ยังต้องคล้อยตามขนบนี้ จะเขียนตามใจชอบไม่ได้ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงจะฉาวโฉ่ ถูกคนรุ่นหลังถ่มถุยไปตลอดกาล
พูดง่ายๆ คือคนจีนมีหิริโอตตัปปะในทางประวัติศาสตร์
มีตัวอย่างไม่ดีสมัยราชวงศ์ชิง พระเจ้า คังซีทรงสั่งให้เขียนประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงขึ้น โดยทำใจกว้างเชิญผู้รู้จากราชวงศ์หมิงมาร่วมงานใหญ่ แต่ปรากฏว่านักวิชาการที่ภักดีราชวงศ์เดิมเห็นเจ้านายราชวงศ์ใหม่ใจกว้าง ก็ฉวยโอกาสเขียนบริภาษพวกแมนจู ทำให้พระเจ้าคังซีพิโรธสั่งกวาดล้างพวกปัญญาชนเป็นการใหญ่ นับเป็นรอยด่างสำคัญของมหาราชพระองค์นี้ แต่สุดท้ายประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง (หมิงสื่อ) ก็เขียนสำเร็จ ด้วยความเที่ยงตรงและเป็น กลางเพราะใช้หลักฐานเป็นบันทึกรายวันของพวกหมิง (หมิงสือลู่) นั่นเอง
(อนึ่ง เรื่องนี้น่าสงสัยว่าคังซีทรงล่อพวกภักดีหมิงให้แสดงตัวหรือไม่? โดยล่อปัญญาชนที่ภักดีต่อราชวงศ์หมิงให้ร่วมเขียน "ประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง" เมื่อปัญญาชนเหล่านั้นเสนอข้อเท็จจริงที่จาบจ้วงผู้นำ เพราะความเถรตรงทางวิชาการและความไร้เดียงสาทางการเมือง คังซีจึงจัดการเชือด นี่อาจเป็นกับดักเพื่อกวาดล้างคนเห็นต่าง หรืออาจเป็นแค่ความผิดพลาดเพราะความใจกว้างทางการเมือง)
เมืองไทยเราไม่มีขนบทางวิชาการแบบนี้ พงศาวดารก็เขียนไปตามหลักฐานกระท่อน กระแท่น ออกจะในทำนองอาเศียรวาทอยู่หน่อยๆ ไม่ใช่เพราะ "ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์" แต่พงศาวดารนั้นเป็นบันทึกหลวง และคนไทยนอกวังไม่ชอบบันทึก ซึ่งใช่ว่าชาวบ้านจะบันทึกของตัวเองไม่ได้ แต่คนไทยไม่มีนิสัยเขียนร้อยแก้วยาวๆ หากเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน ดูอย่างปูมโหรเถิด นี่ก็เป็นบันทึกเอกชนแท้ๆ ยังสั้นจนจับใจความได้ยาก
ดังนั้น สิ่งที่ท้ายพงศาวดารหลวงได้จึงมีแต่บันทึกของชาวต่างชาติ ซึ่งกรณีที่มีวิวาทะยาวนานอย่างกรณีพระเจ้าตากทรงมีสัญญาวิปลาส (คลุ้มคลั่ง) หรือไม่? หากเราไม่เชื่อพงศาวดารหลวงของราชวงศ์จักรี ก็ยังมีบันทึกชาวต่างชาติไว้ให้เทียบ แต่คนส่วนใหญ่มักไม่เชื่อ เพราะชอบประวัติศาสตร์กระซิบกระซาบ คงเพราะนิสัยคนไทยชอบซุบซิบนินทามากกว่าพูดกันตรงๆ
ปัจจุบันกรณีพระเจ้าตากนั้น กลายเป็นว่าพระเจ้าตากไม่ใช่จำเลย แต่เป็นราชวงศ์จักรีต่างหาก อย่างที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตอบไว้ใน "บันทึกรับสั่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ที่ผมยกมาประกอบ ทรงเปรยว่าราชวงศ์จักรีถูกปรักปรำโดยนักปราชญ์สมัยใหม่ ทั้งที่เขียนพงศาวดารยกย่องพระเจ้าตากอย่างที่สุดแล้ว
เพราะประโยคสั้นๆ "ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์" ประโยคเดียว จะทำให้การบิดเบือนซ้ำซ้อน ไม่เฉพาะกรณีพระเจ้าตากเท่านั้น n


