พนมพร ฐิติปุญญา ใช้อย่างรู้ค่า-ลงทุนเมื่อมีโอกาส
ลีลี่ โจวการสานต่อธุรกิจครอบครัวเป็นหน้าที่ที่เหล่าทายาทธุรกิจรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องทำ แต่ลึกๆ แล้วหลายคนก็ไขว่คว้าอิสระ อยากมีธุรกิจที่สร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือตัวเอง อยากลองบริหารจัดการเงินเพื่อทำธุรกิจและเพื่ออยู่เองให้ได้บ้าง
ลีลี่ โจว
การสานต่อธุรกิจครอบครัวเป็นหน้าที่ที่เหล่าทายาทธุรกิจรู้ดีอยู่แล้วว่าต้องทำ แต่ลึกๆ แล้วหลายคนก็ไขว่คว้าอิสระ อยากมีธุรกิจที่สร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือตัวเอง อยากลองบริหารจัดการเงินเพื่อทำธุรกิจและเพื่ออยู่เองให้ได้บ้าง
พนมพร ฐิติปุญญา หรือ ฮะ วัย 34 ปี เป็นหนึ่งใน กลุ่มทายาทธุรกิจ โดยทางบ้านของเธอดำเนินธุรกิจ บริษัท กฤษฎากลการ (ประเทศไทย) ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิ และเป็นเจ้าของโรงแรม 3 แห่ง คือ โรงแรมเบสเวส เทิร์น พลัส แวนด้า แกรนด์ ตรงข้ามเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ ที่เปิดให้บริการแล้ว โรงแรมไวบ์ สนามเป้า ติด กับสถานีรถไฟฟ้าสนามเป้า และโรงแรมเบสเวสเทิร์น นาดา ดอนเมือง ใกล้สนามบินดอนเมืองที่รอเปิดให้บริการในปี 2561 และ 2562 ตามลำดับ
ขณะที่พนมพรได้มาริเริ่มทำธุรกิจเองควบคู่ไปกับการช่วยงานที่บ้านด้วยกว่า 2 ปีแล้ว เริ่มต้นจากการทำแบรนด์กระเป๋าชื่อ พาร์ทิตา อิน บี จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ควบคู่กับการเป็นอาจารย์พิเศษสอนระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยศรีปทุม หลักสูตรภาษาอังกฤษ และปัจจุบันกำลังทำพาร์ทิตา เรสซิเดนซ์ เป็นอพาร์ตเมนต์ให้เช่าเจาะกลุ่มนักศึกษา
เมื่อลงทุนทำธุรกิจกระเป๋าเอง แถมยังลงทุนทำธุรกิจอพาร์ตเมนต์ด้วยสดๆ ร้อนๆ พนมพรจึงต้องมีหลักในการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโดยส่วนตัว พนมพร กล่าวว่า ชอบออมเงินอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนประหยัด ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพราะเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอนมาโดยตลอด
ในสมัยไปเรียนต่อต่างประเทศ ทางบ้านก็ให้เงินก้อนใหญ่ไว้เพื่อจัดสรรการใช้จ่ายเอง ผลก็คือพนมพร วางแผนจัดสรรค่าใช้จ่ายจนใช้เงินน้อยกว่าที่ทางบ้านให้และเหลือกลับมาจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม พนมพรเป็นคนที่ชื่นชอบการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมต่างๆ มาใช้มาก หากจะมีเรื่องที่ใช้จ่ายสูงก็จะเป็นด้านนี้ แต่ก็จะมีกฎเหล็กให้ตัวเอง ซึ่งทำให้ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไปกับกระเป๋ามาก
พนมพรจะตั้งกฎว่า ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมได้ทุกยี่ห้อ แต่ต้องมีกระเป๋าแบรนด์เนมเก็บไว้ไม่เกินยี่ห้อละ 1 ใบ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมดังหรือแบรนด์ทั่วไปตามท้องตลาดที่มีดีไซน์น่าสนใจ
"เราจะซื้อกระเป๋าเฉพาะเวลาไปเที่ยว ซึ่งหนึ่งปีจะไม่เที่ยวบ่อย พอมีโอกาสไปจึงซื้อ แต่มีกฎกับตัวเองซื้อได้แค่ยี่ห้อละหนึ่งใบ ถ้าเป็นยี่ห้อที่มีอยู่แล้ว เมื่อซื้อใบใหม่มาต้องนำใบเก่าไปขายต่อ ซึ่งปกติจะซื้อกระเป๋ารุ่นที่ยังไม่ได้นิยมมากในเมืองไทย และขายออกไปในช่วงที่เมืองไทยเริ่มเป็นที่สนใจ แต่ยังไม่มีคนมีกระเป๋ารุ่นนั้นใช้มาก จึงขายได้ราคาไม่ลดลงจากที่ซื้อมาก"
แม้หลายคนจะมองการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แต่สำหรับพนมพรแล้ว สิ่งเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นสำคัญของการลงทุน เมื่อเธอแปลงความชื่นชอบนี้มาเป็นธุรกิจในปัจจุบันด้วย โดยเริ่มจากแค่อยากทำกระเป๋าใช้เอง แต่เมื่อไปติดต่อโรงงานพบว่าต้องมียอดสั่งทำขั้นต่ำ สุดท้ายจึงตัดสินใจ ทำขาย
สำหรับการออมเงินแบบฉบับของพนมพรนั้น แม้ไม่ได้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนกับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เป็นเปอร์เซ็นต์ที่ชัดเจน แต่ก็จะวางแผนคร่าวๆ โดยแบ่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำ และเน้นการซื้อทรัพย์สินที่เพิ่มมูลค่าได้เพื่อเก็บระยะยาว
เช่น ถ้าจะเลือกซื้อเพชรก็ไม่ได้เน้นดูที่ราคาขายเท่านั้น แต่ดูที่คุณภาพเพื่อที่เก็บไว้ราคาก็จะสูงขึ้นเมื่อถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ถ้าซื้อที่ดินก็ต้องเลือกซื้อที่ในทำเลที่คิดว่าดีที่สุดด้วยงบประมาณเท่าที่มีกำลัง
สำหรับการลงทุนหุ้นก็มีบ้างเช่นกัน ซึ่งสไตล์การซื้อหุ้นของพนมพรจะเป็นนักลงทุนที่ซื้อเก็บระยะยาว ไม่ใช่ซื้อขายเก็งกำไร 2-3 เดือนก็ขาย เพราะสมัยที่เคยเรียนวิชาลงทุนในสหรัฐอเมริกาเคยมีโอกาสพบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ได้เรียนรู้คนที่ซื้อหุ้นเก็บระยะยาว ไม่ใช่ซื้อขายเก็งกำไร
ขณะที่เงินอีกก้อนหนึ่งจะเก็บไว้ลงทุนระยะ สั้นๆ ในธุรกิจกระเป๋าแบรนด์เนม ซึ่งเป็นสินค้าซื้อมาขายไป
"เงินที่ใช้กับเงินที่เก็บ ฮะไม่เคยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ว่าสัดส่วนเท่าไร เพราะเป็นคนประหยัดอยู่แล้ว จึงมีเงินส่วนที่เก็บมากกว่าเงินที่ใช้ ทุกวันนี้เวลาเก็บเงินก็จะสำรองไว้เผื่อค่าใช้จ่ายไปจนถึงค่าเทอมลูกในช่วงชั้นประถมศึกษา โดยปัจจุบันลูกยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล"
พนมพร กล่าวว่า การที่เธอลงทุนทำอพาร์ตเมนต์เป็นธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นมา ส่วนหนึ่งก็เพราะวางแผนไว้ให้ธุรกิจนี้สร้างรายได้ที่แน่นอนเข้ามาทุกเดือน เสริมธุรกิจกระเป๋าแบรนด์เนมที่ปัจจุบันการแข่งขันสูงมาก ที่สำคัญธุรกิจอพาร์ตเมนต์น่าจะเป็นส่วนที่สร้างรายได้ระยะยาวไปจนถึงวัยเกษียณได้เลย
ทางด้านธุรกิจกระเป๋าแบรนด์เนมที่การแข่งขันสูง ก็ทำให้ต้องวางแผนจัดสรรค่าใช้จ่ายให้รอบคอบมากขึ้น จะลงทุนเปิดเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าใหม่แต่ละทีต้องคิดให้ดี เพื่อให้เงินที่ใช้ลงทุนคุ้มค่าที่สุด โดยจะศึกษาทุกครั้งก่อนตัดสินใจจ่ายว่าทำเลนั้นเป็นอย่างไร คนเดินซื้อสินค้ามากหรือไม่ ไปเปิดแล้วจะคุ้มค่าเช่าหรือไม่
สิ่งเหล่านี้พนมพรจะจดรายละเอียดไว้บวกลบคูณหาร ถ้าไม่คุ้มก็ไม่เข้าไป ต่างจากบางร้านค้าที่ขอทดลองเปิดไว้ก่อน เพราะคิดว่าแค่จ่ายค่าเช่าไม่กี่พันบาทต่อเดือนเป็นเรื่องสบายมาก
พนมพรให้ข้อคิดดีๆ ว่า ในฐานะที่เป็นคนเจเนอเรชั่นวาย เข้าใจดีว่าคนรุ่นนี้ชอบความท้าทาย เลือกทำสิ่งที่ท้าทาย ไม่ชอบอะไรน่าเบื่อ แต่ท่ามกลางความท้าทายนี้ก็ควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังด้วย เพราะ เราไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นต้อง เตรียมให้พร้อมเรื่องการบริหารเงิน
การลงทุนในธุรกิจของพนมพรคงไม่หยุดแค่เพียงกระเป๋าแบรนด์เนมและอพาร์ตเมนต์เท่านั้น ปัจจุบันเธอยังมองหาโอกาสลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มด้วย โดยไม่ว่าจะผ่านไปทำเลไหนก็จะเก็บรายละเอียดและหาโอกาสลงทุนจากทำเลเหล่านั้นเสมอ
ไม่เพียงเท่านี้ พนมพรยังตั้งใจว่า จะสอนลูก ให้เป็นคนติดดินและรู้จักคุณค่าของเงิน ใช้เงินให้เป็นเช่นกัน ด้วยการทำให้ดูเป็นแบบอย่างว่า แม้ที่บ้านจะมีธุรกิจครอบครัว มีเงินใช้อยู่แล้ว แต่แม่ก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ นั่งเฉยๆ ยังทำงานหาเงินและรู้จักใช้จ่ายเสมอ
สรุปแล้ว การใช้ชีวิตโดยตั้งอยู่บนความไม่ประมาท แม้มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ แต่ก็พึงระลึกเสมอว่าอนาคตคือความไม่แน่นอน จงใช้จ่ายอย่างมีสติและลงทุนอย่างรอบคอบ ชีวิตวันข้างหน้าย่อมดีกว่าการใช้ชีวิตอย่างประมาทแน่นอน


