โมเมนตัมการเมืองไทย : ประชาธิปไตย VS เผด็จการ
สำหรับท่านที่รู้ภาษาอังกฤษอาจจะสังเกตเห็นว่า คำว่า Momentum มีรากศัพท์มาจากคำว่า Moment
โดย ทวี สุรฤทธิกุล
โมเมนตัมคือการสะสมพลังและส่งพลัง
สำหรับท่านที่รู้ภาษาอังกฤษอาจจะสังเกตเห็นว่า คำว่า Momentum มีรากศัพท์มาจากคำว่า Moment ที่แปลเป็นไทยว่า “ชั่วขณะ” หรือ “ช่วงเวลาหนึ่งๆ” เมื่อมาใช้ในทางฟิสิกส์คือวิชาที่ว่าด้วยธรรมชาติของสรรพสิ่ง จึงมีความหมายถึง “ปรากฏการณ์ชั่วขณะหนึ่งๆ” อันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจาก “พลัง” (Force) โดยมีทฤษฎีที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เริ่มจากเมื่อสสารใดได้รับพลังก็จะมีการสะสมพลังและแสดงปฏิกิริยาต่างๆ ได้แก่ การเคลื่อนที่ การเปลี่ยนทิศทาง ไปจนถึงการเปลี่ยนสถานะของสสารนั้น
ตัวอย่างของปฏิกิริยาโมเมนตัมที่บางท่านอาจจะเคยเห็นมาแล้ว ก็เช่นการเล่นบิลเลียดหรือสนุกเกอร์ ที่ผู้เล่นต้องใช้ไม้ยาวๆ แทงไปที่ลูกบอลกลมๆ บนโต๊ะสักหลาด ผู้เล่นต้องคำนวณทิศทางและน้ำหนักในการแทงไม้ เพื่อให้ลูกบอลแต่ละสีไปกระทบกัน และทำให้ลูกบอลที่ต้องการลงหลุม หรือไปหยุดนิ่งในตำแหน่งต่างๆ แรงที่เราใช้แทงผ่านแท่งไม้จะถูกถ่ายทอดไปที่ลูกบอล จากลูกที่โดนแทงไปสู่ลูกที่เป็นเป้าหมาย ความเร็วและระยะทางที่ลูกบอลจะเคลื่อนที่ไปจึงขึ้นอยู่กับการคิดคำนวณตั้งแต่ต้น
บางทีเราจึงเรียกโมเมนตัมตามแบบชาวบ้านๆ นี้ว่า “แรงส่ง” ก็ได้
ในการศึกษาการเมืองไทย ผู้เขียนมองว่าเราอยู่ในระบบของแรงส่งที่ไม่ได้มีการคิดคำนวณอะไรมากนัก ดังปรากฏการณ์ที่เราเห็น คือ การสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปมาระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ ที่บางตำราเรียกว่า “วงจรอุบาทว์” ซึ่งมาพิจารณาจาก “ทฤษฎีโมเมนตัม” เราอาจจะเห็นภาพปรากฏการณ์นี้ได้ชัดเจนมากขึ้น อย่างน้อยก็จะทราบว่าอะไรเป็น “พลังกำเนิด” และเราจะปรับแก้ “ลูกบอลการเมือง” ไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้หรือไม่อย่างไร
ถ้าจะเปรียบการเมืองไทยเป็นเหมือนการแข่งขันสนุกเกอร์ (ต้องขอออกตัวก่อนว่าเป็นคนเล่นสนุกเกอร์ไม่เป็น เป็นแต่ชอบดูการแข่งขันในระดับโลก และพอรู้กติกาบ้างนิดหน่อย) ที่มีชื่อทัวร์นาเมนต์ ว่า “การสร้างประชาธิปไตย” โดยมีผู้เข้าแข่งขัน 2 ทีม คือทีมนายก้าวหน้ากับทีมนายหวงอำนาจ
เริ่มต้นทั้งสองทีมนั้นมาสมคบกันเรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” ก็ถ้อยทีถ้อยแทงลูกบอลไปในทิศทางที่ตั้งใจว่าจะให้เป็นประชาธิปไตย ในตอนแรกทีมนายก้าวหน้าที่เป็นมันสมองของคณะราษฎรก็อยากจะล้มระบอบเจ้าขุนมูลนาย แต่ก็ติดขัดด้วยคณะราษฎรนั้นเองก็มีเป้าหมายตั้งแต่มารับราชการว่าอยากจะเป็นเจ้าขุนมูลนาย หลายคนในคณะราษฎรโดยเฉพาะทีมนายหวงอำนาจก็เกิดไม่ไว้วางใจทีมนายก้าวหน้า ที่สุดก็ทำศึกแย่งชิงอำนาจกันเองอยู่ 15 ปี ตั้งแต่ปี 2475-2490 ไม่ได้มีเวลาไปสร้างประชาธิปไตยอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อไว้
ตั้งแต่ปี 2490 ที่ทีมนายหวงอำนาจนำโดยนายทหารใหญ่ๆ ทั้งหลาย ก็ “ยึดโต๊ะ” คือปกครองประเทศอย่างเด็ดขาด แต่โชคร้ายที่นายทหารในทีมทะเลาะกันเอง ที่สุดหัวหน้าทีมก็ถูกเชิญให้ไปต่างประเทศ แล้วนายทหารที่ชนะก็ปกครองสืบทอดอำนาจมาถึงปี 2516 ก่อนที่จะสิ้นสุดอำนาจลง (ชั่วขณะ) เพราะทหารมัวแต่แทงลูกบอลอย่างเมามันมากเกินไป
แบบที่เรียกว่า “ไม้เดียวกินหมดโต๊ะ” ไม่ยอมปล่อยให้ชาวบ้านมาเล่นด้วย แต่เมื่อนักศึกษามานำชาวบ้านไล่ทหารออกไปในวันที่ 14 ต.ค. 2516 นักศึกษานั้นเองก็ “มัวเมาอำนาจ” เข้าไปอีกที่อาจจะด้วยไม่ค่อยคุ้นเคยกับการใช้อำนาจ ที่สุดทหารก็กลับมายึดอำนาจคืนในวันที่ 6 ต.ค. 2519 โดยทหารก็พยายามสร้างประชาธิปไตยด้วยแนวคิดแบบทหารผ่านรัฐธรรมนูญ ปี 2521 (ที่ว่ากันไปแล้วก็คล้ายๆ แนวคิดของรัฐธรรมนูญปี 2560 และนายทหารคณะ คสช.นี้ ที่คิดจะ “ควบคุม” นักการเมืองและการเมืองไทยไปอีกระยะหนึ่ง)
จากนั้น การเมืองไทยก็หมุนเวียนอยู่ระหว่างการเลือกตั้งและการรัฐประหารนี้เรื่อยมา อย่างที่เรียกว่าวงจรอุบาทว์นั้น ซึ่งก็เป็นที่คาดกันว่าประเทศไทยน่าจะถูกวงจรนี้ครอบงำไปอีกนาน ถ้านายหวงอำนาจไม่ยอมให้ผู้อื่นเข้ามาเล่นด้วย หรือชอบที่จะ “จับไม้” สอนชาวบ้านให้เล่นอยู่เรื่อยไปเช่นนี้
จากภาพประวัติที่ผู้เขียนฉายย้อนให้ดูอย่างย่อๆ อาจจะพอสรุปเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับ “ทฤษฎีโมเมนตัม” ได้ว่า ในประการแรก “พลังกำเนิด” คือผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองของไทยไม่ได้มีความคิดที่อยากจะสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รวมทั้งที่มีความขัดแย้งกันในเรื่องการสร้างประชาธิปไตยนั้นด้วย ประการต่อมา ด้วยพลังกำเนิดที่บิดเบี้ยวนั้น ก็เลยได้ทำให้เกิด “พลังส่ง” ที่สะเปะสะปะมาโดยตลอด และโดยที่พลังกำเนิดนั้นมีทหารควบคุมอยู่
พลังส่งจึงเป็นไปตามที่ทหารได้วางเป้าหมายหรืออยากให้เป็นไป ดังนั้นในประการสุดท้าย จึงก่อให้เกิด “พลังสะสม” เกิดขึ้นในทุกอาณาเขตการเมือง ที่มีลักษณะ “คาดเดายาก” เช่น การลุกฮือของชาวบ้าน หรือโอกาสที่ทหารจะทำรัฐประหาร เป็นต้น
ถ้าเราเล่นสนุกเกอร์เป็น การแก้ไขก็ต้องเริ่มจากการสร้างผู้เล่นที่เป็นนักประชาธิปไตย หรือไม่ก็คณะทหารนั่นแหละที่จะต้องยอมปล่อยไม้ให้ชาวบ้านได้เล่นกันเอง โดยที่ชาวบ้านนั้นต้องเป็นผู้เล่นหลัก ทหารควรจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดี คือเป็นสารวัตรทหาร (สห.) คอยดูแลรักษาความปลอดภัย และอย่าได้เป็นผู้ตัดสินหรือคอยควบคุมเกมอย่างที่ชอบทำ อย่างดีก็เป็นได้แค่กองเชียร์ที่เอาใจช่วยชาวบ้านที่เขากำลังช่วยกันสร้างประชาธิปไตยอยู่นั้น


