เมื่อไร้หลักนิติธรรม ความรุนแรงจะมีที่ยืน
การถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหงโดยที่ขื่อแปบ้านเมืองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้นั้น
โดย บูรพา จันทรา Fellow หลักสูตรผู้บริหาร Rule of Law and Development สถาบันยุติธรรมแห่งประเทศไทย
การถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหงโดยที่ขื่อแปบ้านเมืองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้นั้น หากไม่โดนด้วยตัวเองก็คงไม่รู้สึก สำหรับผู้ถูกกระทำ การจะดึงชีวิตของพวกเขาให้พ้นทุกข์ทรมานไม่อาจกระทำได้ง่ายๆ ยิ่งสภาพแวดล้อมไร้ซึ่งนิติธรรมยิ่งไปกันใหญ่
บางคนทำอะไรไม่ได้นอกจากสยบยอม แต่ในสภาพสังคมสลับซับซ้อน ข้อมูลข่าวสารลื่นไหลง่ายดาย สภาพเช่นนี้มีส่วนสำคัญทำให้ผู้สยบยอมอาจกลายเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงตอบโต้ ในท้องทะเลแห่งข้อมูลข่าวสาร ความรุนแรงทั้งความคิด ถ้อยคำ และการกระทำแพร่กระจายเต็มไปหมด
ย้อนไปดูเหตุการณ์รุนแรงแต่ละครั้ง จะเห็นว่าผู้ลงมือมักไม่ค่อยมีประวัติหรือเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายเหมือนในอดีต
ทำไมคนเหล่านี้ถึงกล้าก่อเหตุรุนแรงแบบเกินคาด คำตอบ คือพวกเขาเกิดความรู้สึกร่วมกับกลุ่มที่เชื่อว่าถูกกดขี่ข่มเหง อย่างอยุติธรรม อีกประการหนึ่งเป็นผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหงด้วยตนเอง เกิดความคับข้องใจจนถึงขีดสุด เลยมีพฤติกรรมรุนแรง เช่น เริ่มจากมีกิจกรรมร่วมต่อต้านคัดค้านด้วยการเข้าร่วมชุมนุม หรือกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ ไปจนถึงเข้าร่วมขบวนการก่อความรุนแรงเข้ารับการฝึกจนได้ที่ก็ลงมือ จะเป็นทีมงานหรือลงมือโดยลำพัง แต่ก็ยังอยู่ในรูปของขบวนการ
ที่น่าสนใจผู้ลงมือบางคนไม่ได้เข้าร่วมขบวนการ ไม่เคยรับการฝึก หรือมีส่วนสนับสนุนใดๆ ก็สามารถลงมือด้วยความเหี้ยมโหดสังหารผู้คนได้จำนวนมาก
วันที่ 2 ธ.ค. 2558 ซายิด ฟารุก และ ทัชฟีน มาริก คู่สามี ภรรยาก่อเหตุกราดยิงผู้เข้าร่วมงานเลี้ยง ในโอกาสเทศกาลวันหยุดของศูนย์บริการผู้ทุพพลภาพในอินแลนด์ รีเจียนนอล เซ็นเตอร์ เมืองซาน เบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย มีผู้เสียชีวิต 14 คน บาดเจ็บอีก 21 คน ส่วนสองสามีภรรยาถูกตำรวจวิสามัญ ฆาตกรรม
หลังเกิดเหตุกลุ่มไอเอสประกาศสดุดี ฟารุก และ มาริก ว่าเป็น "ทหาร" ของรัฐอิสลามที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นใน ดินแดนซีเรีย และอิรัก ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่าพ่อของฟารุก ยอมรับว่าลูกชายสนับสนุนค่านิยมของกลุ่มติดอาวุธไอเอส นอกจากนี้เขาเคยพูดว่าเห็นด้วยกับ อบูบาการ์ อัล-บักดาดี ผู้นำกลุ่มไอเอส เรื่องการก่อตั้งรัฐอิสลาม
อีกเหตุการณ์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือน เม.ย. 2556 ขณะแข่งขันวิ่งมาราธอนกลางเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บอีก 264 คน คนร้ายเป็นสองพี่น้องเชื้อสายเชเชน โดยไม่ได้เป็นสมาชิก ไม่เคยไปฝึก ไม่ได้รับเงินหรืออาวุธ จากกลุ่มก่อการร้ายใดๆ เพียงแต่ทั้งสองคนคิดว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการที่ต่อสู้ร่วมกับมุสลิม
นี่เป็นกรณีตัวอย่างปฏิบัติการหมาป่าโดดเดี่ยว หรือ LONE WOLF ซึ่งได้ผลดี ป้องกันยาก เป็นโอกาสและช่องทางที่มีศักยภาพของผู้ใช้ความรุนแรง และเป็นช่องโหว่และวิกฤตของฝ่ายรัฐบาลท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก ใครจะเป็นเป้าหมายของกลุ่มก่อความรุนแรง ที่จะดึงมาเป็น "LONE WOLF"
ถ้าบอกว่าผู้เป็นเหยื่อของความเหลื่อมล้ำ ถูกกดขี่ ไม่ได้ รับความเป็นธรรม คือ เป้าหมายหลักคงไม่ผิด เพราะคนเหล่านี้ มีความโกรธแค้นเป็นทุนเดิม หากถูกป้อนข้อมูลกระตุ้นความรู้สึกรุนแรง ก็มีแนวโน้มจะลงมือได้ไม่ยาก ยิ่งโลกปัจจุบันผู้คนจะเลือกเสพข้อมูลข่าวสารที่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองคิดและเชื่อเท่านั้น ก็ยิ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุน ยังไม่นับกรณีนำเรื่องศรัทธาและความเชื่อมาเป็นเครื่องมืออีก
สภาวะไร้หลักนิติธรรมที่จะเป็นจุดเสี่ยงของการเกิด LONE WOLF อาจจะไม่สลักสำคัญอะไรในสายตาผู้เชี่ยวชาญด้าน ความมั่นคงทั้งหลายในตอนนี้ หากแต่ในยุค VUCA WORLD ที่ทั้งผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และกำกวม อะไรๆ ก็เกิดขึ้น ได้ทั้งนั้น
กี่ครั้งแล้วที่ปฏิบัติการแบบ "คาดไม่ถึง" เกิดขึ้นในประเทศไทย ครั้งล่าสุดก็ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเมื่อช่วงสายของวันที่ 22 พ.ค. 2560 ผู้ลงมือที่ถูกจับเป็นอดีตวิศวกรไฟฟ้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เขาให้การว่าก่อเหตุ เพราะต้องการให้เป็นสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลปฏิวัติ
ยิ่งถ้าเกิดการ "สนธิ" หรือร่วมมือกันระหว่างกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐโดยมี "เจ้าภาพ" จัดการให้กลุ่มต่างๆ เหล่านี้ มาร่วมกันเฉพาะกิจปฏิบัติการแบบต่างวัตถุประสงค์แต่ เป้าหมายเดียวกันแล้วละก็รับรองได้ว่ายุ่งแน่ๆ และยุ่งมากๆ ด้วยตัดไฟเสียแต่ต้นลมเถิด อย่ามองข้ามจุดเปราะบางสำคัญ ยิ่งจุดนี้เลย


