‘กันตพร หาญพาณิชย์’ ต้องมีระเบียบในการออมตั้งแต่แรก
เรื่อง บงกชรัตน์ สร้อยทอง/ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์กันตพร หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) อายุ 30 ปี เป็นลูกชายคนกลางของ "เฉลิม หาญพาณิชย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 3 โรงพยาบาล คือ เกษมราษฎร์ เวิลด์เมดิคอล และการุญเวช
เรื่อง บงกชรัตน์ สร้อยทอง/ภาพ ทวีชัย ธวัชปกรณ์
กันตพร หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) อายุ 30 ปี เป็นลูกชายคนกลางของ "เฉลิม หาญพาณิชย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 3 โรงพยาบาล คือ เกษมราษฎร์ เวิลด์เมดิคอล และการุญเวช
เดิมเขาไม่ได้เป็นคนมีระเบียบวินัยในการออมมาก จึงพยายามหาตัวช่วยที่จะทำให้มีความสม่ำเสมอในการออม จึงเลือกซื้อประกันประเภทแบบออมเงินที่ปัจจุบันมีตัวเลือกอยู่มาก แต่สิ่งที่ ประทับใจและเลือกใช้ คือ ประกันออมเงินที่สามารถเลือกสินทรัพย์หรือปรับพอร์ตระหว่างตราสารหนี้กับตราสารทุนได้
ทั้งนี้ สามารถกำหนดเงินลงทุนได้เลยว่าจะไปตราสารหนี้กี่เปอร์เซ็นต์ หรือไปหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งข้อดีของการเลือกการลงทุนแบบนี้ คือ สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตได้ตลอดเวลาโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม แต่เพียงแค่แจ้งโบรกเกอร์เท่านั้น
"ถือว่าได้ผลมาก เพราะปรับพอร์ตเมื่อไรก็ได้ ไม่คิดค่าธรรมเนียม เจ้าอื่นจะปรับพอร์ตต้องเสียเงินค่าเปลี่ยน แม้ทุนประกันชีวิตประเภทนี้จะไม่ได้สูงมากแต่เพื่อต้องการให้ลูกค้าออมอีกทั้งคนที่ดูแลพอร์ตให้เขาก็จะมีคำแนะนำให้ตลอด ซึ่งทำกรมธรรม์มาได้ 2-3 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนกลับมาเฉลี่ยที่ 7-8% ต่อปีได้"
นอกจากนั้น สินทรัพย์หรือกองทุนที่เลือกลงทุน มักจะเป็นกองทุนที่เป็นตัวท็อปในการสร้างผลตอบแทน จากการลงทุนแต่ละปี เช่น ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน
ปัจจุบันสัดส่วนเงินออมและลงทุนเป็นเรื่องประกันเพื่อออมประมาณ 10-20% ของสินทรัพย์ทั้งหมด หากมีเงินส่วนที่เห็นว่าถ้าเป็นเงินเย็นที่เพิ่มขึ้น ก็มักจะเอามาเติมในส่วนนี้หรือซื้อกรมธรรม์เพิ่ม ปกติจะจ่ายประกันเพื่อออมเป็นรายปี แต่ปัจจุบันเพราะมีกรมธรรม์จำนวนมาก จนตอนนี้เรียกว่าถึงเวลาจ่ายประกันแทบจะทุกเดือนแล้ว
ขณะที่อีก 30-60% เน้นลงทุนหุ้น ซึ่งสัดส่วนจะขึ้นอยู่กับโอกาสและจังหวะของการลงทุนว่าจะขยับเป็นเท่าไร โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจหุ้นเพราะมีคุณแม่เป็นผู้สนับสนุนหลัก เพราะหลังนำโรงพยาบาลเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว คุณแม่ก็ศึกษาเรื่องนี้จริงจัง และเป็นคนส่งให้เขาไปเข้าคอร์สอบรมเรียนหุ้นแบบเทคนิค ตั้งแต่เรียนปริญญาตรีที่คณะการบริหารและการจัดการธุรกจระดับบัณฑิต มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ตอนปี 4 ซึ่งตอนนั้นก็ไม่รู้เรื่องเลย และมองว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวอยู่
กันตพร เริ่มมาลงทนหุ้นจริงจังเมื่อเริ่มต้นทำงาน จนตอนนี้ก็เกือบ 3 ปีแล้ว เพราะเป็นลักษณะค่อยเป็น ค่อยไปจากเงินต้นเพียงหลักหมื่นและเป็นหลักแสนบาท แรกเริ่มจากตัวที่มีข่าววงไหน ยังไม่ค่อยเจ็บตัวเท่าไร เพราะมีเพื่อนที่เป็นทั้งนักวิเคราะห์และเริ่มเป็นผู้จัดการกองทุนก็ค่อยบอก
ขณะเดียวกันเขาเริ่มแบ่งพอร์ตการลงทุนจากหุ้นทั้งหมด อย่างละครึ่งหนึ่งเป็นหุ้นพื้นฐานตัวใหญ่ที่คิดว่ายังดีต่อเนื่องได้อย่างกลุ่มพลังงาน อย่าง บริษัท ปตท. (PTT) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อย่าง บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) และหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ส่วนนี้ก็ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่ได้ประมาณ 10% ต่อปี
สำหรับอีกครึ่งหนึ่งลงทุนหุ้นเก็งกำไร แน่นอนต้องเคยเจ็บตัว เคยเข้าไปวันแรก 2 วัน ขาดทุนไปถึง 50% เพราะใจคิดว่าจะไปต่อแต่ไม่ใช่ จึงขายตัดขาดทุนไป แต่ภายหลังถ้าในพอร์ตหุ้นเก็งกำไรราคาลดลง 10% จะรีบขายตัดขายทุนไปก่อนเลย เพราะคิดว่าหุ้นประเภทนี้ถ้าลงแรงขนาดนี้ก็ไม่น่าจะรอด โดยที่ผ่านมาผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 10%
สิ่งที่สำคัญในการบริหารเงิน คือ "ต้องมีระเบียบในการออมตั้งแต่แรก" โดยรายได้ที่ได้มาแต่ละครั้ง 50% จะเก็บไว้เพื่อออมและนำต่อยอดเป็นการลงทุนทันที และควรมีการกระจายความเสี่ยง ทั้งเก็บเป็นเงินสด ลงทุนที่เสี่ยงน้อยอย่างตราสารหนี้ และหุ้นที่ยังเชื่อว่าให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดอยู่ เพราะถ้าคนอื่นลงทุนแล้วแต่เราไม่ได้ทำ ก็จะตามคนอื่นไม่ทัน และถือว่าเป็นการเสียโอกาส แต่สิ่งที่เขาไม่ทำเลย คือการฝากประจำกับธนาคารเพราะได้ผลตอบแทนน้อย


