ตำนานวัดราชบพิธฯ และวัดบวรฯ ที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร
ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
โดย ส.สต
ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะมีการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคาร ไปที่วัด 2 แห่ง คือ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดบวรนิเวศวิหาร
พระบรมราชสรีรางคารที่อัญเชิญไปวัดราชบพิธฯ นั้น จะประดิษฐานใต้ฐานพระพุทธอังคีรส ซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
"พระพุทธอังคีรส" ชื่อนี้มีความหมายว่า รัศมีซ่านออกจากพระวรกาย เปรียบดังองค์พระพุทธเจ้ายามประสูติที่มีแสงออกจากพระวรกาย จนเป็นที่กล่าวขาน หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อต้นรัชกาลที่ 5 ใช้วิธีกะไหล่ทองคำ โดยทองคำหนัก 180 บาท ทองคำนี้ถือเป็นทองคำที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นทองคำที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสวมใส่เมื่อทรงพระเยาว์ นำมากะไหล่เป็นส่วนบนขององค์พระ รวมกับทองคำอื่นๆ มาประกอบเป็นฐานล่างขององค์พระอีก 48 บาท ทั้งนี้ "พระพุทธอังคีรส" สร้างขึ้นตามสมัยนิยมของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 มีลักษณะคล้ายดั่งมนุษย์ แตกต่างจากพระพุทธรูปที่นิยมมาแต่ก่อน โดยจะมีสบงพลิ้วบาง เปลวพระเกศมีอุณาโลม หรือฉัพพรรณรังสี คือแสงสว่างที่พวยพุ่งออกจากจุดศูนย์กลางเป็น 6 พระรัศมี ซึ่ง "พระพุทธอังคีรส" ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อน ที่นำมาจากประเทศอิตาลี ภายใต้ฐานพระประธานแห่งนี้ยังได้มีการประดิษฐานพระบรมอัฐิ และพระบรมราชสรีรางคารของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์หลายพระองค์
วัดนี้เป็นพระอารามหลวงประจำพระมหากษัตริย์ถึง 2 พระองค์ คือ ในหลวงรัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 7
ประวัติการก่อสร้างนั้น ข้อมูลจากเว็บไซต์ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2412 โดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก คือ ลักษณะภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในออกแบบตกแต่งอย่างตะวันตก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง และ มีมหาสีมาอันเป็นเสาศิลาจำหลักยอดเป็นรูป เสมาธรรมจักร 8 เสา ตั้งเป็นสีมาที่กำแพง 8 ทิศ
พระบรมราชสรีรางคารที่อัญเชิญไปวัดบวรนิเวศวิหารนั้น นำไปประดิษฐานใต้ฐานพระพุทธชินสีห์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระพุทธสุวรรณเขต
พระพุทธชินสีห์ เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย หน้าตักกว้าง 5 ศอก 4 นิ้ว สร้างสมัยเดียวกันกับพระพุทธชินราช ซึ่งสถิต ณ พระวิหารหลวงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก
ส่วนพระพุทธสุวรรณเขต มีประวัติว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หน้าตักกว้าง 9 ศอก 21 นิ้ว มีชื่อว่า "พระศรีสรรเพชญสัตตพันพาน" เป็นพระประธานประดิษฐาน ณ วัดสระตะพาน จ.เพชรบุรี ตำนานปรัมปราเล่าสืบต่อกันว่า ในอดีตการแปรสภาพพระพุทธรูปโลหะให้กลายเป็นพระพุทธรูปทองคำนั้นสามารถทำได้โดยการฝังแร่กายสิทธิ์ที่ชื่อ สุวรรณเขต หรือสุวรรณขีด ลงไปในเม็ดพระศก (ผม) ขององค์พระพุทธรูป จะทำให้โลหะนั้นกลายเป็นทองคำทันที และเชื่อกันว่าน่าจะมีแร่สุวรรณเขตอยู่ในเม็ดพระศกของพระศรีสรรเพชญ สัตตพันพาน และพระพุทธรูปองค์นี้ได้อยู่คู่บ้านคู่เมืองเพชรบุรีมาโดยตลอด
จนกระทั่งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ประมาณ พ.ศ. 2370 (ตรงกับรัชกาลที่ 3) กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพได้ทรงอัญเชิญ โดยชะลอจากวัดสระตะพาน เมืองเพชรบุรี มาเป็นพระประธานในอุโบสถวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร (การเคลื่อนย้ายครั้งนั้นได้รื้อออกเป็นท่อนๆ แล้วนำมาประกอบที่กรุงเทพฯ) และมีชื่อเรียกต่อมากันว่า "พระสุวรรณเขต" หรือ "หลวงพ่อโตวัดบวร" หรือเป็นที่รู้จักกันว่า "หลวงพ่อเพชร" อันเนื่องจากเคยเป็นพระพุทธรูปที่มาจากเมืองเพชรบุรี
ส่วนตำนานการสร้างวัดบวรนิเวศวิหารนี้ ระบุว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นในปีใดปีหนึ่งระหว่าง พ.ศ. 2367-2375 แรกทีเดียวยังมิได้ปรากฏนามพระอารามชัดเจน หากแต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันโดยลำลองว่า "วัดใหม่" บ้าง "วัดบน" บ้าง
เมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้าพระองค์นั้นทรงสถาปนาวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ท่านผู้ใดเป็นอธิบดีสงฆ์พระอารามนี้ และมีพระสงฆ์จำนวนมากน้อยเท่าไรก็ไม่ปรากฏ มีหลักฐานแต่เพียงว่าเมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ สวรรคตใน พ.ศ. 2375 แล้ว ก่อน พ.ศ. 2379 ไม่นาน พระอารามนี้มี พระเทพโมลี "สิน" เป็นเจ้าอาวาส มีพระสงฆ์ลูกวัดเพียง 5 รูป ต่อมาพระเทพโมลี (สิน) ลาสิกขา เป็นอันว่าวัดบวรนิเวศวิหารนี้ไม่มีพระราชาคณะผู้ใหญ่ปกครองดูแล
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้อาราธนาสมเด็จพระเจ้าน้อง ยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทวาวงศ์ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งทรงผนวชและประทับอยู่ที่วัดสมอราย หรือวัดราชาธิวาส ให้เสด็จมาอยู่และทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารนี้ หลังจากเจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทวาวงศ์ ลาสิกขาไปครองราชสมบัติ เจ้าอาวาสลำดับได้ดังนี้
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา ปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงครองวัดระหว่าง พ.ศ. 2394-2435 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงครองวัดระหว่าง พ.ศ. 2435-2464 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ทรงครองวัดระหว่าง พ.ศ. 2464-2501 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงครองวัดระหว่าง พ.ศ. 2504-2556
สมเด็จพระวันรัต ตั้งแต่ 2558 ถึงปัจจุบัน


