หยวนซื่อข่าย เลือกทางผิด มิใช่ไร้ที่มา
พูดถึงชื่อ "หยวนซื่อข่าย" ชาวจีนต่างรู้กันว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลวร้ายในช่วงปลายราชวงศ์ชิงต่อยุคสาธารณรัฐจีน
พูดถึงชื่อ "หยวนซื่อข่าย" ชาวจีนต่างรู้กันว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลวร้ายในช่วงปลายราชวงศ์ชิงต่อยุคสาธารณรัฐจีน
หยวนซื่อข่ายเป็นผู้นำของกองทัพเป่ยหยาง-กองกำลังที่มีอิทธิพลในช่วงปลายราชวงศ์ชิง เมื่อภายนอกมีประเทศมหาอำนาจรุมทึ้ง ภายในเต็มไปด้วยหวอดแห่งการปฏิวัติ ราชวงศ์ชิงไปต่อไม่ได้ หยวนซื่อข่ายอาศัยบารมีกองทัพเข้าไกล่เกลี่ยหาทางลงให้ฝั่งราชวงศ์ชิง เปิดทางขึ้นให้คณะปฏิวัติ มองแง่ดีคือเขาเป็นคนกลางที่สามารถหลีกเลี่ยงความสูญเสียยืดเยื้อของทุกฝ่าย
แต่ชื่อเสียงหยวนซื่อข่ายเลวร้ายเพราะหลังจากเป็นกาวประสานช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมาหยวนซื่อข่ายกลับเดินเกมกุมอำนาจไว้กับตนเอง จนเขาได้เป็นประธานาธิบดีของจีน และเลยเถิดไปถึงขั้นสถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ด้วยข้ออ้างที่ว่าจีนยังไม่พร้อมจะใช้ระบอบสาธารณรัฐ
ชื่อเสียงหยวนซื่อข่ายพังพินาศที่สุด ณ จุดนี้
เขาเป็นฮ่องเต้อยู่ได้เพียง 83 วัน ในที่สุดก็ทนเสียงประณามของผู้คนทั่วสารทิศไม่ไหว กลับตัวกลับใจขอลงมาเป็นประธานาธิบดีเหมือนเดิม
จากเรื่องนี้ใครๆ ก็จดจำหยวนซื่อข่ายในฐานะ ผู้ทรยศต่อประชาชน จอมกะล่อนที่ฝันกลางวันอยากเป็นฮ่องเต้ แต่ต้องตื่นขึ้นเพราะเสียงด่าทั้งแผ่นดิน และต่อมาไม่นานหยวนซื่อข่ายก็ป่วยตาย ทิ้งไว้แต่ชื่อเสียงที่แหลกลาญ
ความผิดพลาดครั้งนี้ดูเหมือนไม่มีวิสัยทัศน์ใดๆ รองรับ เพราะตำแหน่งประธานาธิบดีก็อยู่จุดสูงสุดในระบบสาธารณรัฐแล้ว แต่ถ้าย้อนดูรายละเอียดสถานการณ์อาจเห็นเค้าลางของการตัดสินใจโง่ๆ ครั้งนี้
ก่อนอื่นเมื่อประเทศเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ ใครๆ ก็นึกฝันว่าจีนเปลี่ยนไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็เรื่องทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันย่อมต่างจากวันวาน ทำให้ต่างจินตนาการว่าเมื่อเท่าเทียมกันแล้วบ้านเมืองก็จะดีขึ้นโดยอัตโนมัติแน่นอน
ขุนศึกขุนนางเก่า ก็พลอยร่วมจินตนาการแบบนี้ไปด้วย
ผลคือระบบโครงสร้างราชการสำแดงอาการเละเทะ ขุนนางตามท้องถิ่นต่างๆ ไม่ค่อยสนใจท่านประธานาธิบดีสักเท่าไร ส่วยภาษีที่เคยต้องส่งให้กับส่วนกลางจากท้องถิ่นต่างๆ ก็ถูกละเลย จนหยวนซื่อข่าย หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแบกหน้าไปกู้เงินจำนวนมากจากมหาอำนาจ
"จะมาขูดรีดท้องถิ่นได้อย่างไร ในเมื่อเราเท่าเทียม"
ไม่ใช่แค่เรื่องการเงิน เพราะยังมีเรื่องการงาน ในฐานะประธานาธิบดี แต่ละครั้งที่เรียกประชุมคณะผู้แทน ผู้แทนทั้งหลายก็มาสายกันเป็นว่าเล่น ส่วนเหตุที่มาสายก็มักง่ายเหลือเกิน
เพราะมัวแต่จับวงเล่นไพ่นกกระจอกกันดึกดื่นเลยตื่นสาย
หยวนซื่อข่ายโกรธหนวดกระดิก แต่จะทำอะไรก็ไม่ได้ แม้ตำแหน่งเป็นถึงประธานาธิบดีแต่กฎเกณฑ์ไม่เหมือนก่อน มาสายจึงกลายเป็นเรื่องส่วนบุคคล ลงโทษกันไม่ได้ ผู้แทนแต่ละคนในสภาต่างก็ไม่ธรรมดา มีเงิน มีชื่อเสียง มีกองทัพ มีประชาชนหนุนหลังอยู่เช่นกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องเกรงใจประธานาธิบดีหรือกฎเกณฑ์ใดๆ
หยวนซื่อข่ายนิ่งเฉยไม่ได้ จึงวานผู้แทนคนหนึ่งให้ช่วยจดชื่อคนในวงไพ่นกกระจอกให้หน่อย เพื่อจะได้ใช้ตำหนิได้ถูกคน ผู้แทนคนนั้นรู้ว่าหยวนซื่อข่ายจะยืมดาบฆ่าคน ถ้าตนจดรายชื่อผู้มีอิทธิพลในวงไพ่ไปตามจริงจะอยู่ยาก จึงโชว์ความฉลาดจดชื่อ ต้วนฉีรุ่ยเป็นคนแรก
ต้วนฉีรุ่ยเป็นคนทำงานชั้นดี แม้จะร่วมวงเล่นไพ่นกกระจอกอยู่จริง แต่เป็นคนมีวินัยสูง ร่วมเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนบ้างก็เพราะต้องร่วมสังคม ที่สำคัญไม่เคยมาสายเลยสักครั้ง ถ้าหยวนซื่อข่ายเริ่มต้นรายการตำหนิจากชื่อต้วนฉีรุ่ยย่อมกลายเป็นเรื่องตลก รายชื่อที่สั่งให้ไปจดมาจึงกลายเป็นเรื่องสูญเปล่า
คิดดูว่าหยวนซื่อข่ายเคยเป็นถึงผู้นำกองทัพทรงบารมีในยุคราชวงศ์ชิง เคยมีอำนาจสิทธิชี้ขาดเป็นตายได้ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ เมื่อเขาต้องมาเจอกับความไร้ประสิทธิภาพฉับพลันในนามของความเท่าเทียมกันจะอึดอัดระดับไหน
บรรยากาศการขับเคลื่อนประเทศเป็นอย่างไร ดูได้จากคำบอกเล่าของเหลียงฉี่เชา (นักปฏิรูปร่วมยุค) เขาเขียนบรรยายถึงผู้แทนในช่วงนั้นว่า "มักใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกแต่ในย่านโคมแดง ประชุมกันบ้างนานๆ ครั้ง บรรยากาศที่ประชุมเหมือนนักเรียนคุยเล่นกันให้ห้องเรียน บ้างลุกขึ้นด่ากันหยาบคายไม่ต่างจากอาม่าด่าเพื่อนบ้าน"
ความเละเทะทั้งหมดอยู่ในห้วงเวลาวิกฤตของชาติจีนที่มหาอำนาจนานาชาติกำลังจ้องเขมือบและจีนช่างอ่อนแอ
เช่น ญี่ปุ่นจู่ๆ ก็ยื่นข้อเสนอบังคับให้จีนเซ็น สัญญากดขี่จีน 21 ข้อ พร้อมตระเตรียมกำลังทหารข่มขู่จะรุกราน หยวนซื่อข่ายมักถูกประณามเรื่องการเซ็นสัญญานี้ว่าเป็นคนขายชาติ แต่ใครเล่าจะจดจำในรายละเอียดว่า กว่าหยวนซื่อข่ายจะลงนาม เขายื้อเจรจากับญี่ปุ่นถึงกว่า 20 รอบ
นอกจากนั้น เขายังพยายามเล่นเกมการทูตโดยส่งข่าวนี้ให้อังกฤษ เพราะคิดยืมมืออังกฤษเข้าหยุดการกระทำของญี่ปุ่น แต่สุดท้ายก็ไร้ผล หยวนซื่อข่ายดีดลูกคิดประเมินว่าจีนไร้ศักยภาพจะต่อต้าน สุดท้ายจึงต้องยอมเซ็น
สถานการณ์เช่นนั้นเขาจะทนได้กับกระบวนการทางการเมืองแบบใหม่ได้ขนาดไหน ทางออกจะเป็นเช่นไร หยวนซื่อข่ายรู้ดีว่าอย่างน้อยยังมีหนทางบางอย่างเหลืออยู่ในมือ นั่นก็คือต้องใช้อำนาจอย่าง "ฮ่องเต้" มาแก้ไขสถานการณ์
เพราะในตำแหน่งประธานาธิบดี ไม่ว่าเขาจะพยายามขนาดไหน ก็ไม่มีวันบังคับบัญชาได้มีประสิทธิภาพดั่งอำนาจในยุคเดิม
ปุ่มเปิดฉากฮ่องเต้จึงอยู่แค่ปลายนิ้วที่สั่นระริก
ทางเลือกนี้เขาไม่ได้แค่คิดเองเออเอง หันไปรอบข้างทางไหน ก็เจอแต่เสียงสนับสนุน ลูกน้องบางคนเล่าให้เขาฟังว่าเห็นขอทานข้างถนนทะเลาะกัน หนึ่งในนั้นโวยวายว่า "อย่าเป็นสาธารณรัฐมันจะยังดีซะกว่า ถ้าฮ่องเต้ยังอยู่พวกแกจะกล้ากร่างอย่างนี้ไหม!"
กระแสสาธารณรัฐสำหรับชาวบ้านตอนนั้นก็เป็นซะอย่างนี้ ต่างจินตนาการไปว่าบ้านเมืองเปลี่ยนไปแล้วใครจะทำอะไรก็ได้ เพราะบทอาญาแบบโบร่ำโบราณไม่เหลืออีกต่อไป
หรือแม้แต่นักวิชาการของสหรัฐอเมริกา (Frank Johnson Goodnow) ยุคนั้นยังออกมาประกาศว่า จีนไม่เหมาะกับระบอบใหม่นี้
ไม่เว้นแม้แต่ ไช่เอ้อ นักการเมือง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหัวหอกคนสำคัญที่ออกมาต่อต้านหยวนซื่อข่ายไม่ให้เป็นฮ่องเต้ แต่ในใบรายชื่อสนับสนุนให้หยวนซื่อข่ายสถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้ กลับมีเขาลงชื่อสนับสนุนเป็นคนแรก
น่าเศร้าขนาดไหนที่คนใกล้ตัวหยวนซื่อข่าย ต่างร่วมกันอำท่านประธานาธิบดีต่อหน้าพูดอย่าง ลับหลังพูดอีกอย่าง
และเมื่อรายล้อมไปด้วยคนตีสองหน้า ผู้เชี่ยวชาญการเมืองขนาดไหนก็ยากจะแยกแยะสถานการณ์ความเป็นจริง
หยวนซื่อข่ายสถาปนาตัวเป็นฮ่องเต้ได้ 83 วัน และเมื่อไปไม่ถึงฝั่งฝัน ก็มีแต่คนรอกระทืบซ้ำ
ก่อนตายหยวนซื่อข่ายเรียกลูกชายมาสั่งเสียว่า "เรื่องนี้พ่อทำผิดมหันต์ หลังจากนี้อย่าให้พวกนั้นหลอกเอาได้อีก..."
ไม่ว่าปัจจุบันนี้หรือสมัยนั้น ใครๆ ก็รู้ว่าหยวนซื่อข่ายเดินไปสู่ทางเลือกที่สิ้นคิด แต่ลองดูจากมุมมอง หยวนซื่อข่ายที่อยู่ในตำแหน่งบัญชาการขับเคลื่อนประเทศในวิกฤต ทุกท่านคงเห็นความน่าละเหี่ยใจด้านหนึ่ง
เอาเข้าจริงคงแก้ตัวไม่ได้ว่าหยวนซื่อข่ายก็คงจะมีใจฝันอยากเป็นฮ่องเต้อยู่ด้วย แต่อย่างน้อยความเข้าใจรายละเอียดสถานการณ์ในยุคนั้นก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ว่าทางที่หยวนซื่อข่ายเลือกเดินไม่ได้เกิดขึ้นจากฝันกลางวัน และยังมีอีกหลายฝ่ายที่ร่วมกันสร้างเงื่อนไข ทำให้หยวนซื่อข่ายมีข้ออ้างให้กับทางเลือกผิดๆ ของตัวเอง


