เปิดวิชั่นแม่ทัพไฮคิวฯ ทรานส์ฟอร์มอุตอาหาร
ถือว่าเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่ในธุรกิจอาหารมานาน สำหรับ สุวิทย์ วังพัฒนมงคล ในวัย 57 ปี
โดย รัชนีย์ ศรีวัฒนชัย
ถือว่าเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่ในธุรกิจอาหารมานาน สำหรับ สุวิทย์ วังพัฒนมงคล ในวัย 57 ปี แห่งธุรกิจปลากระป๋องโรซ่า หรือกระทั่งซอสมะเขือเทศที่อยู่คู่ครัวไทยมานมนาน ซึ่งมีมุมมองว่า ถึงเวลาแล้วที่อุตสาหกรรมอาหารไทยต้องทรานส์ฟอร์มเข้าสู่ยุค 4.0
สุวิทย์ วังพัฒนมงคล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายปลากระป๋องตราโรซ่า เปิดเผยว่า การทรานส์ฟอร์มอุตสาหกรรมอาหารของไทยเข้าสู่ยุค 4.0 ต้องทยอยปรับเปลี่ยน โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต อาทิ เครื่องจักร โรบอต
ทั้งนี้ เพราะผู้ประกอบการธุรกิจอาหารต้องเผชิญกับความท้าทายอยู่ด้วยกัน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1.ต้นทุนการผลิตสินค้า ทำอย่างไรถึงจะลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้เร็วขึ้น ซึ่งการใช้เทคโนโลยีเข้ามาในกระบวนการผลิตถือว่าตอบโจทย์ได้
ขณะที่ความท้าทายด้านที่ 2 การพัฒนาอาหารที่มีนวัตกรรม สะดวกสบาย รวดเร็ว ที่สำคัญต้องมีความปลอดภัย โดยเฉพาะนวัตกรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะโลกแห่งเทคโนโลยีที่ทันกัน คู่แข่งสามารถผลิตสินค้าที่ไม่แตกต่างกันออกมาจำหน่ายในเวลาไล่เลี่ยกันได้ ถ้าบริษัทมีสินค้าที่มีนวัตกรรมจะทำให้มีความเหนือชั้นคู่แข่ง และด้านที่ 3 การนำทรัพยากรมาใช้ในการผลิตสินค้าและสภาพอากาศที่มีอิทธิพลต่อภาคเกษตร ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบการผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัด
สำหรับบริษัทโรซ่า ขณะนี้เริ่มทรานส์ฟอร์เมชั่นไปในบางส่วนแล้ว โดยเฉพาะการนำเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนทางด้านแรงงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัญหาที่บริษัทเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือ กลุ่มพนักงานที่เป็นแรงงานของบริษัทส่วนใหญ่เข้าสู่เบบี้บูมเมอร์หรือมีอายุ 49 ปีขึ้นไปในสัดส่วนที่มาก
ขณะเดียวกัน แรงงานที่จะเข้าแทนกลุ่มดังกล่าวก็ค่อนข้างหายาก เพราะเป็นแรงงานที่ใช้แรงงาน ในขณะที่ระดับการศึกษาของเด็กไทยส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จึงเชื่อว่าต่อไปในอนาคตแรงงานไทยจะเหลือน้อยอย่างแน่นอน
“เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า กระบวนการผลิตอาหารบางส่วนยังต้องใช้แรงงานคนในการทำ เช่น การตัดชิ้นส่วนของปลา แม้ว่าจะเริ่มมีเครื่องจักรเข้ามาบ้างแล้วแต่ต้นทุนค่อนข้างสูง ซึ่งบริษัทใช้กลยุทธ์ด้วยการสั่งซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ต่างประเทศ และให้เป็นผู้ดำเนินการกระบวนตัดชิ้นส่วนทั้งหมดให้กับบริษัทเลย แม้ว่าต้นทุนจะสูงขึ้นแต่สามารถทำให้กระบวนการผลิตสินค้าของบริษัทมีความรวดเร็วมากขึ้น”
ด้านภาพรวมตลาดปลากระป๋องมูลค่า 7,000 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา อยู่ในภาวะติดลบ 3-4% พบว่าพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป หันไปซื้อในร้านสะดวกซื้อส่งผลให้เป็นช่องทางที่เติบโต ส่วนไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกดั้งเดิมติดลบ แต่ในสถานการณ์ที่ตลาดติดลบ บริษัทสามารถเติบโต 10% เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่บริษัทมองว่าในช่วงที่ผู้ประกอบการรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัว จึงชะลอแผนการทำตลาด แต่บริษัทกลับใส่เกียร์ลุยเต็มที่ในช่วง 8-9 เดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมการตลาด แคมเปญโปรโมชั่นต่างๆ
สุวิทย์ กล่าวว่า แผนธุรกิจในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. บริษัทแทบไม่ต้องดำเนินการมากนัก เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการ อื่นๆ อาจต้องอัดงบการตลาดในช่วง 2 เดือนสุดท้าย เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ได้ตามเป้าหมาย ขณะที่บริษัทมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีปิดเป้าหมายการเติบโต 8-10% หรือมีรายได้ 2,500 ล้านบาท
ในส่วนของเทรนด์ธุรกิจอาหาร ตลาดอาหารพร้อมรับประทานสำเร็จรูปมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก จากไลฟ์สไตล์คนเร่งรีบและไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ บริษัทวางแผนพัฒนาสินค้าใน 1-2 ปี ภายใต้แบรนด์โรซ่าพร้อมเชิงรุก
อาหารเป็นปัจจัยสี่ในการดำเนินชีวิต มนุษย์คงต้องกินอาหารในการดำเนินชีวิตและไม่มีวันที่เทคโนโลยีจะเข้ามาทำลายล้างธุรกิจนี้ อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีในการลดต้นทุน ผลิตสินค้าได้เร็ว และมีนวัตกรรม แค่นั้นก็มีความเหนือชั้นคู่แข่งแล้ว และนี่คือวิชั่นของ “สุวิทย์ วังพัฒนมงคล”


