posttoday

เฟดได้หัวหอกใหม่ ตรงสเปกนโยบายทรัมป์

01 พฤศจิกายน 2560

ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงดอกเบี้ยเอาไว้หลังการประชุมเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ในวันถัดมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ก็ประกาศชื่อว่าที่ผู้ที่จะได้เป็นผู้ว่าการเฟดแทน เจเน็ต เยลเลน ที่จะเกษียณในเดือน ก.พ.ปีหน้าตามมาทันที

ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์

หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงดอกเบี้ยเอาไว้หลังการประชุมเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ในวันถัดมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ก็ประกาศชื่อว่าที่ผู้ที่จะได้เป็นผู้ว่าการเฟดแทน เจเน็ต เยลเลน ที่จะเกษียณในเดือน ก.พ.ปีหน้าตามมาทันที

หากไม่มีอะไรผิดพลาด "เจอโรม พาวเวลล์" วัย 64 ปี ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งในสภาผู้วาการ (Board of Governors) จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเฟดคนต่อไป ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้ เนื่องจากมีแนวคิดที่ "ตรงใจ" กับผู้นำสหรัฐที่ยังไม่มีผลงานทางเศรษฐกิจเป็นชิ้นเป็นอัน

อย่างไรก็ตาม การเลือกพาวเวลล์ขึ้นมา อาจไม่ตรงใจผู้ที่กังวลต่อ "ฟองสบู่" และ "หนี้"

พาวเวลล์มีแนวคิดในลักษณะ "สายพิราบ" หรือคือการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในบริบทของปัจจุบัน โดยการขึ้นดอกเบี้ยที่ไม่รวดเร็วเกินไปนัก จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัมป์ตั้งเป้าหมายทางเศรษฐกิจเอาไว้ที่ 3% เมื่อเทียบกับการขยายตัว 1.5% เมื่อทั้งปี 2016

"ถ้าเศรษฐกิจทำผลงานได้ตามที่คาด ผมเห็นว่าการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นเรื่องที่เหมาะสม และผมคิดว่าการลดขนาดงบดุลภายหลังในปีนี้ เป็นเรื่องที่เหมาะสมเช่นกัน" พาวเวลล์ กล่าวในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ พาวเวลล์มีประวัติการทำงานที่แตกต่างจากผู้ว่าการเฟดรุ่นก่อนๆ ที่มีพื้นฐานในสายวิชาการการเงิน โดยพาวเวลล์เริ่มต้นจากสายกฎหมาย และเข้าไปทำงานในกระทรวงการคลังสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (ผู้พ่อ) ก่อนเข้าทำงานในบริษัทเอกชนด้านการลงทุนตลาดหุ้น จึงมีประวัติการทำงานในภาคเอกชน ซึ่งเป็นคุณสมบัติร่วมของคณะทำงานทรัมป์หลายคน เช่น แกรี โคห์น ที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง ที่ต่างเป็นอดีตนายแบงก์โกลด์แมน แซคส์

จากประวัติการทำงานในภาคเอกชนนี่เอง ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พาวเวลล์ไม่เห็นด้วยกับการใช้การกำกับดูแลควบคุมสถาบันการเงินที่เข้มงวดมากเกินไป โดยพาวเวลล์เรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎโวล์คเกอร์ ที่ควบคุมการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงของสถาบันการเงิน และเป็นส่วนสำคัญของกฎหมาย ดอดด์-แฟรงก์

แม้ดอดด์-แฟรงก์จะเกิดขึ้นเพื่อควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงของสถาบันการเงินที่มีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2007-2009 แต่ก็เป็นกฎหมายที่ทรัมป์ต้องการแก้ไข เนื่องจากเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ทำให้ธนาคารยากจะปล่อยกู้ให้ภาคเอกชน ดังนั้นแนวคิดของพาวเวลล์จึงตรงกับที่ทรัมป์ต้องการ

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้เสนอชื่อ แรนดัล ควอร์เลส ขึ้นเป็นประธานฝ่ายกำกับดูแลภาคธนาคารของเฟด และได้รับการรับรองจากวุฒิสภาเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยบรรดาภาคธนาคารต่างคาดการณ์กันว่า ควอร์เลสจะขึ้นมามีบทบาทอย่างมากในการแก้ไขการกำกับดูแล เช่น การทำแบบทดสอบความเสี่ยง (สเตรสเทสต์) และกฎโวล์คเกอร์

อย่างไรก็ตาม หลังการใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัย เบน เบอร์แนนคี อดีตผู้ว่าการเฟดก่อนหน้าเยลเลน เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจ อาจกลายเป็นงานยากให้กับแนวคิด "สายพิราบ"

ตลาดหุ้นของสหรัฐทำสถิติสูงสุดตลอดกาลติดต่อกันหลายครั้งในปีนี้ สร้างความกังวลว่าช่วงเวลาของพาวเวลล์ จะไปเหมือนกับสมัยของ "อลัน กรีนสแปน" อดีตผู้ว่าการเฟด ที่เร่งขึ้นดอกเบี้ยในปี 2004 จาก 1% ซึ่งใช้เพื่อกู้เศรษฐกิจหลังฟองสบู่ในภาคเทคโนโลยีแตกในราวปี 1999-2000 ให้เป็น 5.25% ในปี 2006 เพื่อเร่งควบคุม "ฟองสบู่" ที่เกิดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามากำกับดูแลการปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่มีเครดิตการชำระเงินต่ำ หรือซับไพรม์

แต่สุดท้ายมาตรการดังกล่าวก็ไม่สามารถป้องกันวิกฤตได้ทันท่วงที วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นในปี 2007-2008 ในสมัยของ เบน เบอร์แนนคี ผู้รับตำแหน่งผู้ว่าการต่อจากกรีนสแปน โดยที่แม้เบอร์แนนคีจะเชี่ยวชาญด้านการฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤต แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ที่ใหญ่ขนาดลุกลามไปทั้งโลก ก่อนที่เยลเลนจะมารับไม้ต่อจากเบอร์แนนคีในปี 2014 ด้วยการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ และหันมาทยอยถอนนโยบายการเงินในปี 2016

ความคล้ายคลึงกันนี้เองที่ทำให้หลายฝ่ายจับตาความเคลื่อนไหวของหัวหอกเฟด "สายพิราบ" คนใหม่อย่างใกล้ชิด

ธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศ (บีไอเอส) ซึ่งเป็นผู้เตือนให้สหรัฐระวังฟองสบู่ในสมัยกรีนสแปน ออกโรงเตือนเมื่อกลางปีที่ผ่านมาว่า ธนาคารกลางทั่วโลกควรเดินหน้าดำเนินนโยบายถอนตัวจากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายที่ใช้หลังวิกฤตเศรษฐกิจครั้งล่าสุด แม้จะทำให้เกิดผลกระทบในทางลบในระยะสั้นที่เริ่มลดการกระตุ้น

การใช้นโยบายการเงินแบบสายพิราบ และการลดกำกับดูแลภาคธนาคารยังมาพร้อมกับปริมาณหนี้โลกที่ปรับตัวขึ้นแตะจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 226 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,458 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็น 324% ของเศรษฐกิจโลก จากข้อมูลของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ไอไอเอฟ)

ขณะเดียวกันจากข้อมูลของเฟดนับถึงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ปริมาณหนี้ครัวเรือนของสหรัฐยังเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 16 ล้านล้านบาท) เป็น 12.84 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 423 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของขนาดเศรษฐกิจสหรัฐ

"การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนส่งสัญญาณเตือนความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อปริมาณหนี้แต่เดิมนั้นสูงอยู่แล้ว" กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา

ดังนั้น จึงไม่แปลกที่หลายฝ่ายจะหวังให้ทรัมป์เสนอชื่อ จอห์น เทย์เลอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งติด 1 ใน 2 ตัวเก็งผู้ว่าการเฟดนอกเหนือจากพาวเวลล์ ขึ้นเป็นรองประธานเฟดแทนที่ สแตนลีย์ ฟิชเชอร์ รองประธานที่ลาออกไปก่อนหน้านี้

เทย์เลอร์ เป็นผู้คิดค้นทฤษฎี "กฎของเทย์เลอร์" ที่คำนวณดอกเบี้ยจากเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งบลูมเบิร์กประเมินจากสมการของเทย์เลอร์ อัตราเงินเฟ้อควรอยู่ที่ 3.75% เทียบกับระดับปัจจุบันที่ 1-1.25% ทำให้ตลาดมองว่าเทย์เลอร์จะเป็น "สายเหยี่ยว" ที่เน้นการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย

มาร์ก เกิร์ทเลอร์ นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ระบุว่า คู่พาวเวลล์-เทย์เลอร์ มีแนวโน้มที่จะไปได้สวย โดยเทย์เลอร์จะเข้ามาช่วยพาวเวลล์เติมเต็มในด้านวิชาการเศรษฐศาสตร์ด้วย แม้ว่าในทางปฏิบัติจริงนั้นจะยังไม่สามารถการันตีถึงความเข้าขากันได้ก็ตาม

"แต่คุณก็ต้องพิจารณาด้วยว่าพวกเขาจะเข้ากันได้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ว่าการและรองประธานจะต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด" เกิร์ทเลอร์ กล่าว n

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด แอสตัน วิลล่า พบ แมนยู พรีเมียร์ลีก วันนี้ 21 ธ.ค.68