เนรมิต สร้างเอี่ยม เก็บเพียงพอแต่อย่ารอไว้รักษา
จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์การเป็นผู้บริหารระดับสูงให้กับองค์กรขนาดใหญ่ ได้เงินเดือนสูงๆ ฟังดูแล้วก็เป็นเส้นทางการทำงานที่สร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้ชีวิตได้ดี
จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์
การเป็นผู้บริหารระดับสูงให้กับองค์กรขนาดใหญ่ ได้เงินเดือนสูงๆ ฟังดูแล้วก็เป็นเส้นทางการทำงานที่สร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้ชีวิตได้ดี
แต่บางทีชีวิตก็อาจไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการมีสุขภาพที่ดี มีชีวิตที่เป็นสุข ที่บางคนมีเงินทองมากมายก่ายกองก็มิอาจซื้อสิ่งเหล่านี้ให้กับชีวิตได้
เนรมิต สร้างเอี่ยม หรือตุ้ย อดีตเคยเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ ในวัย 50 ปี ที่ได้ลาออกจากงานประจำ หันหน้าสู่การทำงานอิสระ มีทั้งทำเกษตรแปรรูป ทำอสังหาริมทรัพย์เอง ควบคู่ไปกับการเป็นที่ปรึกษาให้บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เล่าให้ฟังว่า เดิมทีเคยเตรียมแผนชีวิตไว้ว่า เมื่อเกษียณอายุจากงานประจำในวัย 55 ปีแล้วจะออกมาทำงานด้านเกษตรกรรม แต่แล้วแผนที่วางไว้ก็เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด
เมื่อเจ้าของโรงงานเกษตรแปรรูปผลไม้แช่อิ่มในเชียงใหม่ที่มีแบรนด์สินค้า "เกรียงไกรผลไม้" อยู่ต้องการขายกิจการ จึงตัดสินใจซื้อไว้และมาเริ่มทำกิจการของตัวเองตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันเกิดของตัวเอง
สาเหตุที่ตุ้ยอยากมาทำงานด้านเกษตร เพราะสนใจเรื่องเกษตรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เกิดความสงสัยมานานว่าเหตุใดคนทำเกษตรกรรมทำแล้วจึงไม่มีเงินเสียที กลับมีแต่จนลง เมื่อเจอกับโรงงานแห่งนี้ ซึ่งจัดเป็นเกษตรกลางน้ำ จึงสนใจ
เพราะมองว่าหากไปเริ่มจากต้นทางเป็นผู้ปลูก ผลิต เราอาจควบคุมเกมตลาดได้ยาก คงจะเหนื่อย จึงเริ่มจากกลางน้ำดีกว่า เพราะหากทำแปรรูปสินค้าเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มได้ ก็จะช่วยเกษตรกรต้นทางได้ไม่ยาก
ไม่เพียงเท่านี้ จากการเป็นผู้บริหารทำคอนโดมิเนียมมาหลายหมื่นยูนิต 7-8 ปีที่ผ่านมา จนรู้ว่าที่อยู่อาศัยที่ดีเป็นอย่างไร แต่ไม่เคยทำบ้านขาย จึงตัดสินใจนำแนวคิด คิดทุกเม็ด ครบทุกมุม คุ้มทุกเมตร มาทำบ้านแนวราบเอง 2 โครงการ คือ The Urban Reserve สวนหลวง บ้าน 17 หลัง บนที่ดิน 5 ไร่กว่า หวังตอบโจทย์คนที่ต้องการบ้านหลังสุดท้ายสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกัน และ The Minus Five บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ 14 ยูนิต ที่หวังว่าคนเข้ามาโครงการจะได้สัมผัสอุณหภูมิที่ลดลง 5 องศาจากภายนอก
ตุ้ย อธิบายว่า หลังตัดสินใจออกมาทำงานอิสระเอง ต้องเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการเงินในชีวิตไปมาก เพราะเมื่อไม่มีงานประจำ ไม่มีเงินเดือนที่ได้ประจำทุกเดือนแน่นอน ก็ต้องใช้จ่ายระมัดระวังขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อทำงานอิสระ เดินทางน้อยลง และอายุมากขึ้น รับประทานได้น้อยลง ก็ทำให้ใช้จ่ายลดลงไปเองโดยปริยาย
"วันนี้คนทำงานค่าเดินทางมากกว่าค่า รับประทานอาหาร พอเราออกจากงานประจำ ค่าใช้จ่ายหลายอย่างก็ลดลงอัตโนมัติ สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง ถ้ายังทำงานประจำต่อไปอีก 5 ปี เทียบกับปัจจุบันที่ออกมาทำงานอิสระ ก็คิด ว่ารายได้หักลบด้วยรายจ่ายแล้วคงจะเท่าๆ กัน ไม่กระทบกับชีวิตมาก" ตุ้ย มอง
ตุ้ย กล่าวว่า สมัยที่เริ่มทำงานใหม่ๆ 5-10 ปีแรก เคยคิดเพียงแต่หาเงินมากๆ เก็บให้ได้มากๆ จะเป็นความมั่นคงของชีวิตอย่างหนึ่ง
พอทำงานผ่านไป 20 ปี เริ่มค้นพบว่า ความมั่นคงในชีวิตไม่ใช่เรื่องเงิน แต่ปัจจัย 4 ต่างหากที่จำเป็น คือ ที่อยู่อาศัย อาหาร ยา และเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงปัจจัยที่ 5 คือ อากาศ
หากเราใส่สิ่งดีๆ ในปัจจัยเหล่านี้เข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะอาหารและอากาศ เพียงเท่านี้เราก็จะมีร่างกายที่ดี มีชีวิตที่ดีได้แล้ว
ตุ้ย แนะนำว่า ลองถามตัวเองว่า เก็บเงินไปเพื่ออะไร ถ้าคิดว่าเก็บไว้เพื่อรักษาตัวในยามแก่เฒ่า ก็จะได้ใช้เงินนั้นรักษาตัวจริงๆ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาทำงานเครียด รับประทานอาหาร ไม่เป็นเวลา พักผ่อนไม่เพียงพอเพื่อหาเงิน
เหตุใดจึงไม่มองในเชิงป้องกันมากกว่ารอเก็บเงินไว้รักษา เพราะถ้าป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาได้ ก็จะต้องเตรียมงบรักษาพยาบาลเมื่อยามเกษียณน้อยกว่ามาก สรุปแล้วคือแทนที่จะคาดเดาเผื่อไว้ว่าตัวเองจะเป็นโรคอะไรยามชราแล้วเตรียมเงินมากๆ เพื่อรักษาโรคนั้น ย้อนกลับมาหาวิธีป้องกันก่อนดีกว่า
"แทนที่เราจะเตรียมเงินรักษาตัวเอง เรา เอาตัวเองไปอยู่ในอากาศดีๆ รับประทานอาหารที่ดี ไม่ดีกว่าหรือ" ตุ้ย กล่าว
ตุ้ย กล่าวถึงเทคนิคการเก็บเงินถึงยามเกษียณของตัวเองว่า หลักการที่ยึดมาตลอดคือ การทำบัญชีส่วนตัวสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้รู้ว่าเราใช้เงินไปกับส่วนใดมากที่สุด ซึ่งก็ยอมรับโดยดีว่าเป็นคนใช้เงินเก่ง มีเงินสดไม่ได้ต้องใช้ ซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ดี เมื่อจับจุดตัวเองได้ จึงใช้วิธีการเปลี่ยนจากเงินสดไปเก็บสินทรัพย์ ซื้ออสังหาริมทรัพย์แทน แล้วถือเงินสดไม่มาก
เหตุผลที่เลือกทำเช่นนี้ เพราะตุ้ยมองว่า ในเมื่อเปลี่ยนนิสัยของตัวเองไม่ให้ใช้จ่ายไม่ได้ ก็เลือกปรับตัวด้วยการใช้จ่ายไปกับสิ่งที่เป็นสินทรัพย์ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า
เมื่อไปซื้อสินทรัพย์อย่างบ้านแล้ว ก็จะทำให้เราไม่ใช้จ่ายแบบเดิมๆ เมื่อเห็นของเล็กๆ ก็ไม่ซื้อ รอเก็บเงินซื้อสินทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีกว่า
หากเป็นไปได้ขอแนะนำคนที่เพิ่งเริ่มทำงานวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรืออาชีพอิสระว่า การลงทุนให้เร็วที่สุดคือสิ่งที่ดีที่สุด
เราไม่จำเป็นต้องรอให้มีเงินพร้อมก่อน เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพร้อม
แต่เมื่อมีเงินอยู่ระดับหนึ่งแล้วให้ลงทุนในสินทรัพย์เลยแล้วปล่อยให้สินทรัพย์ที่ซื้อมาผ่อนจ่ายตัวเองได้ โดยตุ้ยเชื่อว่า การลงทุนในสินทรัพย์จะเป็นภาคบังคับที่ทำให้ตัวเรามีวินัยในการเก็บเงินเอง
ขณะที่ในช่วงนี้ที่ทำงานอิสระแล้ว นอกเหนือจากการเก็บเงินผ่านอสังหาริมทรัพย์ ก็ยึดหลักการสำรองเงินสดไว้ใช้ว่า ต้องคำนวณเงินสด เท่ากับรายจ่ายต่อเดือนที่ต้องใช้คูณกับ 6 เดือน เมื่อกันเงินส่วนนี้ไว้แล้ว รายได้ที่เหลือก็นำไปซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) เพื่อลดหย่อนภาษี
ตุ้ย ฝากข้อคิดไว้ว่า วันนี้หลายคนต้องเริ่มคิดว่า ตอนอายุเราล่วงเข้าสู่วัยหลังเกษียณ จะใช้เงินเดือนละเท่าไหร่ และวางแผนว่าเราน่าจะมีอายุถึงเท่าไหร่ เพื่อจะได้รู้ว่าต้องมีเงินเตรียมไว้เท่าไหร่
แต่อย่านำเงินก้อนนี้ไปปนกับเงินก้อนที่เตรียมรักษาตัวเอง เพราะมองว่าควรจะเตรียมเงินเพื่อสุขภาพแยกจากเงินที่ใช้จ่ายกินอยู่ปกติ
สรุปแล้วเริ่มตั้งแต่วันนี้ จะทำงานประจำหรืออิสระ ก็เก็บเงินเตรียมไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ พร้อมดูแลร่างกายให้ดี อยู่ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่ดี เตรียมเงินเพื่อสุขภาพได้ แต่ไม่ใช่เคร่งเครียดตะบี้ตะบันหาอย่างหนักไปพร้อมกับบั่นทอนสุขภาพตัวเอง วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องเสียเงินก้อนโตที่ทุ่มเทมาไว้รักษาสุขภาพที่เสื่อมโทรม


