หยวนหลงผิง บิดาแห่งข้าวไฮบริดจีน
จีนมีพื้นที่เพาะปลูกไม่มาก มีพื้นที่ลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์น้อยนิด
จีนมีพื้นที่เพาะปลูกไม่มาก มีพื้นที่ลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์น้อยนิด จากประวัติศาสตร์ หากเกิดภัยธรรมชาติที่คาดไม่ถึง สภาวะคนอดตายและคนกินคนจะตามมาอย่างรวดเร็ว นั่นคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวจีนมีวัฒนธรรมการกินที่หลากหลาย เพราะบางช่วงเวลาถ้าเอาแต่เลือกกินแต่สิ่งที่เคยชินคงต้องอดตาย
สูตรอาหารที่ประกอบจากเปลือกไม้ รากไม้ งูพิษ และสัตว์ป่าที่น่าเกลียดน่ากลัวและดุร้าย มักริเริ่มจากความอดอยากไม่มีอันจะกิน มากกว่าความอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม อาหารหลักของวัฒนธรรมจีนยังคงเป็นข้าวอยู่ดี ปริมาณผลผลิตข้าวจึงเป็นปัจจัยชี้วัดคุณภาพปากท้องของชาวจีนมาตลอด ทุกยุคที่ประชากรจีนก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ปัญหาข้าวไม่เพียงพอจึงไม่ใช่แค่ปัญหาภายใน
ต้นศตวรรษที่ 19 นักวิชาการสหรัฐอเมริกาเคยคาดการณ์ไว้ว่า ในปี 2030 จีนจะต้องการธัญญาหารเพื่อเลี้ยงประชากรในประเทศปีละ 200 ล้านตัน ซึ่งเท่ากับปริมาณธัญญาหารทั้งหมดที่ทั้งโลกผลิตได้ แล้วหยวนหลงผิงก็มาคลี่คลายความกังวลนั้น
หยวนหลงผิง คือ นักวิจัยข้าวไฮบริดมือหนึ่งของจีน แม้ขึ้นชื่อเรื่องข้าว แต่เขากลับไม่ได้เติบโตมาในชนบทหรือแวดล้อมด้วยเกษตรกรแต่อย่างใด ที่จริงเขาเป็นเด็กในเมืองดีๆ นี่เอง หยวนหลงผิงเกิดที่เมืองปักกิ่ง ใช้ชีวิตวัยเด็กที่เมืองอู่ฮั่น ฉงชิ่ง หนานจิง ล้วนเป็นเมืองใหญ่ แต่เขาได้รับแรงบันดาลใจในวัยเด็กเมื่อครูพาไปทัศนศึกษาที่ไร่แห่งหนึ่งแถวชานเมือง เขาเห็นดอกไม้ในสวนมากมาย ได้เห็นองุ่นแดงพวงโตห้อยลงมาจากร้าน เขาคิดว่านี่แหละคือสวนแห่งความสุข
ช่วงเดียวกันนั้นเองที่เขาได้ดูหนังขาวดำของ ชาร์ลี แชปลิน เรื่อง "Modern Times" ในหนังมีฉากหนึ่งที่ชาร์ลี แชปลิน ฝันถึงชีวิตยุคใหม่ อยากกินองุ่นก็เอื้อมเด็ดเอาจากริมหน้าต่าง อยากดื่มนมก็มีวัวตัวเป็นๆ เดินมาหน้าบ้านให้รีดนมดื่มได้ ทั้งหมดคือแรงบันดาลใจของหยวนหลงผิง พอเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยเขาจึงเลือกเรียนคณะเกษตรศาสตร์
เขาพูดติดตลกว่า "ถ้าตอนเด็กได้ไปดูชนบทจริงๆ แล้วรู้ว่าทั้งเปรอะเปื้อนทั้งยากจน เขาอาจจะไม่ได้เลือกเรียนเกษตรก็เป็นได้" ในช่วงวัยรุ่น หยวนหลงผิง ไม่ได้เป็นอัจฉริยะแต่กำเนิด เขาทำการทดลองมากมาย ซึ่งมองย้อนกลับไปดูนับเป็นเรื่องบ้าบอ เขาพยายามตัดต่อมันฝรั่งกับมะเขือเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างต้นไม้ในฝัน ข้างบนออกผลมะเขือ ส่วนใต้ดินเป็นมันฝรั่ง กินได้ทั้งบนล่าง
เขาเสียเวลาไปถึง 3 ปีเต็ม กับการทดลองพิสดาร เป็น 3 ปีที่มีแต่ความล้มเหลว และดูไร้สาระ ภายหลังถึงได้รู้ว่ามันผิดหลักการผสมพันธุ์ ก็ย่อมต้องล้มเหลวเป็นธรรมดา แม้ผู้คนจะหัวเราะเยาะในความล้มเหลวของเขา หยวนหลงผิงก็มิได้แคร์ หยวนหลงผิงสรุปจากความผิดพลาดข้างต้นว่า จะทำการทดลองใดๆ ต้องมีความรู้ในทิศทางที่ถูกต้องเสียก่อน จึงใส่ความขยันและความมุ่งมั่นเข้าไป หากผิดทิศผิดทางซะแล้ว ทดลองไปก็เสียแรงเปล่า
แล้วในช่วงปี 1959 ที่จีนต้องเผชิญวิกฤตอดอยากครั้งใหญ่ หยวนหลงผิงได้เห็นคนอดตายข้างถนนกับตาตัวเอง ชีวิตจริงตรงหน้าเขาช่างตรงข้ามกับสวนแห่งความสุขที่เขาฝัน เขาจึงเลือกมุ่งมั่นกับการพัฒนาพันธุ์ข้าว อาหารหลักของชาวจีน ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นแค่เรื่องความสุข แต่มันคือความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ
เขาริเริ่มหาไร่ข้าวที่มีผลผลิตดีที่สุดที่เขาพบ แล้วนำกลับมาปลูกและดูแลอย่างดีในแปลงทดลอง แต่กลับให้ผลผลิตที่น่าผิดหวัง ข้าวที่ขึ้นมากลับมีทั้งดีเลวปะปนกันไป หยวนหลงผิงจึงให้ความสนใจเรื่องข้าวลูกผสม ซึ่งในยุคนั้นวงวิชาการคิดว่าไม่สามารถทำได้ (มีคนเคยทำแล้วล้มเหลว ไม่สามารถใช้เพาะปลูกจำนวนมากได้)
ข้าวไฮบริด คือ ข้าวลูกผสมข้ามสายพันธุ์ จากการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์และพัฒนาครั้งแล้วครั้งเล่า จนได้คุณสมบัติตามที่ต้องการ เช่น ทนต่อแมลง ทนแล้ง ให้ผลผลิตสูง (คนละรูปแบบกับ GMO ซึ่งเน้นการตัดต่อจากรหัสพันธุกรรมและหลายกรณีกระทำกันข้ามเผ่าพันธุ์) แล้วหยวนหลงผิงก็ทำได้สำเร็จ แต่เป็นความสำเร็จที่กลับตาลปัตร เพราะผ่านมาหลายปีข้าวไฮบริดให้ผลผลิตน้อยลง 3% แต่กลับให้ฟางข้าวเพิ่มขึ้นถึง 70%
สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นเสียงหัวเราะเยาะ บางคนกลับเสนอให้หยุดการทดลองเสีย... "คนนะ ไม่ใช่วัว" ถึงได้ต้องการฟางข้าวเพิ่มขึ้น ในที่ประชุมเขาบอกกับทุกคนว่าผลที่ได้หากมองแบบผิวเผินเหมือนจะล้มเหลว แต่มองให้ดีจะเห็นว่าทิศทางการทดลองของเขาประสบความสำเร็จ เพราะการทดลองยืนยันได้ว่าข้าวลูกผสมมีอยู่จริง เรื่องที่ว่าจะทำอย่างไรให้ข้าวมีผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเพียงเรื่องทางเทคนิคที่ต้องยืนหยัดทดลองต่อไปเท่านั้น... คณะกรรมการทั้งหลายเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาอธิบาย และเปิดโอกาสให้เขาทำการทดลองต่อไป
เรียกได้ว่าท่ามกลางความล้มเหลว ผู้ที่สามารถสรุปบทเรียนและสามารถมองหาประกายของความสำเร็จออกมาได้ แล้วยืนหยัดสู้ต่อไป ย่อมประสบความสำเร็จในที่สุด ดอกผลแห่งการทดลองจึงออกรวง ในปี 1975 ปีแรกที่จีนเริ่มสนับสนุนการใช้พันธุ์ข้าวลูกผสม ผลผลิตข้าวของจีนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 20%
หยวนหลงผิงมักตั้งเป้าท้าทายตัวเองเป็นปริมาณผลผลิตข้าวต่อไร่ที่สูงขึ้น ในปี 1999 ข้าวไฮบริดของเขามีผลผลิตทำลายสถิติโลก และก็ยังทำลายสถิติเรื่อยๆ ในปี 2005, 2011, 2016 ข้าวไฮบริดรุ่นล่าสุดได้ผลผลิตต่อไร่สูงที่สุดถึง 3.5 ตัน/ไร่ ในแปลงทดลองมณฑลกว่างตง และได้ถึง 2.5 ตัน/ไร่ ที่แถบยูนนานและเหอเป่ย ทำลายสถิติผลผลิตการปลูกข้าวบนที่ราบสูงของโลก
(เพื่อให้เห็นภาพเปรียบเทียบ ทั้งประเทศจีนมีผลผลิตข้าวต่อไร่เฉลี่ย 1.1 ตัน/ไร่ ขณะที่ของไทยเฉลี่ย 0.5 ตัน/ไร่ โดยนาภาคกลางของไทยที่น้ำดินอุดมมีผลผลิตเฉลี่ย 1 ตัน/ไร่) เขาเคยกล่าวไว้ว่า "หากพื้นที่เพาะปลูกข้าวครึ่งหนึ่งของทั้งโลกใช้ข้าวลูกผสม ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นปีละ 150 ล้านตัน นั่นเท่ากับว่าสามารถเลี้ยงผู้คนได้เพิ่มขึ้น 4-500 ล้านคน"
ไม่นานมานี้ เขายังประสบความสำเร็จกับข้าวไฮบริด รุ่นที่ขึ้นได้ด้วยน้ำทะเล ถือเป็นการปฏิวัติวงการข้าวครั้งใหญ่ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวในจีนได้อีก 20% หยวนหลงผิงในวัยใกล้ 90 ปี มีชีวิตเรียบง่าย กินง่าย นอนง่าย ใส่เสื้อผ้าง่ายๆ ตามสไตล์นักคิดที่ให้ความสำคัญกับผลงาน เขายังคงยุ่งอยู่กับงานวิจัยในไร่นา กับการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานวิจัยเรื่องข้าวไฮบริด
มีคนประเมินค่าตัวหยวนหลงผิงไว้ว่า หากเขาเก็บค่าสิทธิบัตรพันธุ์ข้าวที่เขาพัฒนาขึ้นและถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วทั้งหมด เขาจะร่ำรวยมหาศาลแซงหน้า บิล เกตส์ บ้างว่าแบรนด์ข้าวของหยวนหลงผิงตีมูลค่าได้ถึง 1.008 แสนล้านหยวน (5.04 แสนล้านบาท)
เมื่อได้ยินคำประเมินนี้หยวนหลงผิงได้แต่ยิ้มและบอกว่า เขาไม่ใช่มหาเศรษฐีแบบนั้น แต่เป็นเศรษฐีทางใจ เพราะเป้าหมายที่เขาฝันไว้ คือ ต้นข้าวที่สูงใหญ่ ออกรวงมากมายหล่อเลี้ยงประชากรโลก เขาเน้นว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดของมนุษย์ทุกคน คือ ความรู้ที่อยู่ในสมองและความรับผิดชอบที่อยู่ในหัวใจ
ในมุมหนึ่งคนตัวเล็กๆ อย่างหยวนหลงผิงนี่แหละ คือ ผู้หล่อเลี้ยงผู้คนนับล้านไม่ให้ต้องอดอยาก บรรเทาปัญหาที่ดินทำกินของชาวนาจีน ด้วยความใฝ่ฝัน ความมุ่งมั่น และสติปัญญาที่คนคนหนึ่งจะทำได้ ชีวิตเขาไม่ได้นับความสำเร็จที่สินทรัพย์ หรืออำนาจ เหมือนผู้ประสบความสำเร็จทั่วไปที่เรามักได้ยิน แต่กลับวัดความสำเร็จได้ด้วยสิ่งที่ธรรมดากว่านั้น นั่นคือปริมาณผลผลิตข้าวซึ่งช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน


