ดาวยูเรนัส
ดาวยูเรนัสหรือบางครั้งคนไทยเรียกว่าดาวมฤตยู เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 6
โดย วรเชษฐ์ บุญปลอด
ดาวยูเรนัสหรือบางครั้งคนไทยเรียกว่าดาวมฤตยู เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 6 นอกเหนือจากดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ ซึ่งมีความสว่างมากพอจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากโลก อย่างน้อยก็ในทางทฤษฎี อย่างไรก็ตาม ดาวฤกษ์จำนวนมากบนท้องฟ้ามีความสว่างใกล้เคียงหรือสว่างกว่าดาวยูเรนัส ทำให้การสังเกตดาวยูเรนัสทำได้ยากหากไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอน
สัปดาห์นี้โลกจะโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงที่ลากระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวยูเรนัส ทำให้ดาวยูเรนัสปรากฏที่ตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์และใกล้โลกที่สุดในรอบปี ดาวยูเรนัสจึงมีความสว่างมากที่สุดในรอบปีและอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลานานที่สุด คือตั้งแต่หลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ตลอดเดือนนี้เป็นช่วงเวลาที่นักดาราศาสตร์สามารถสังเกตได้ยูเรนัสได้ดีหากไม่มีเมฆบดบัง
วันที่ 13 มี.ค. ปี ค.ศ. 1781 ดาวเคราะห์ดวงที่ 7 ในระบบสุริยะ ถูกค้นพบโดย วิลเลียม เฮอร์เชล นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน-อังกฤษ ซึ่งขณะนั้นดาวยูเรนัสปรากฏอยู่ในกลุ่มดาววัว ตอนแรก เฮอร์เชลเข้าใจว่าสิ่งที่เขาค้นพบอาจเป็นดาวหาง การสังเกตเพิ่มเติมโดยนักดาราศาสตร์หลายคน รวมทั้งผลการคำนวณวงโคจรในภายหลังจึงพบว่าเป็นวัตถุที่มีความรีของวงโคจรต่ำ หรือเกือบเป็นวงกลม อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์มากกว่าดาวเสาร์ ต่างจากวงโคจรของดาวหางที่ส่วนใหญ่มีความรีสูง วัตถุนี้ก็ไม่มีลักษณะปรากฏที่บ่งบอกว่าเป็นดาวหาง อย่างความฟุ้งของหัวและหางที่ยืดยาวออกไป
ด้วยความสว่างของดาวยูเรนัสที่สว่างกว่าขีดจำกัดที่จางที่สุดของดวงตามนุษย์ และสามารถมองเห็นได้ง่ายด้วยกล้องโทรทรรศน์หรือแม้แต่ในกล้องสองตา ทำให้นักดาราศาสตร์พบว่าดาวยูเรนัสเคยปรากฏในบันทึกการสังเกตการณ์ของนักดาราศาสตร์หลายคนก่อนหน้าการค้นพบในปี 1781 แต่ไม่เคยมีใครสังเกตอย่างละเอียดมากพอที่จะพบได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวเสาร์
ดาวยูเรนัสมีคาบการโคจรนาน 84 ปี ปัจจุบันจึงโคจรรอบดวงอาทิตย์มาแล้วเกือบ 3 รอบ นับตั้งแต่ปีที่ค้นพบ วงโคจรที่มีความรีเล็กน้อยทำให้ดาวยูเรนัสมีระยะห่างขณะไกลดวงอาทิตย์ที่สุดประมาณ 20.1 หน่วยดาราศาสตร์ (1 หน่วยดาราศาสตร์ เท่ากับระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์) ซึ่งดาวยูเรนัสโคจรผ่านจุดดังกล่าวเมื่อ พ.ศ. 2552 ส่วนจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ที่ระยะห่าง 18.3 หน่วยดาราศาสตร์ ดาวยูเรนัสจะผ่านจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดใน พ.ศ. 2593 ซึ่งทำให้มีความสว่างเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันราวร้อยละ 40 ขณะอยู่ที่จุดตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เมื่อสังเกตจากโลก
เราเห็นดาวยูเรนัสระยะใกล้เป็นครั้งแรกผ่านกล้องถ่ายภาพบนยานวอยเอเจอร์ 2 ซึ่งเข้าใกล้ดาวยูเรนัสที่สุดเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2529 คาดว่าอาจมีการส่งยานอวกาศออกไปสำรวจดาวยูเรนัสอีกครั้งในทศวรรษหลัง ค.ศ. 2030 และเดินทางไปถึงในทศวรรษ 2040
ดาวยูเรนัสและดาวเนปจูนจัดเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ในกลุ่มของดาวยักษ์น้ำแข็ง มีองค์ประกอบและโครงสร้างภายในแตกต่างจากดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ซึ่งอยู่ในกลุ่มของดาวยักษ์แก๊ส ทั้งดาวยักษ์น้ำแข็งและดาวยักษ์แก๊สมีไฮโดรเจนและฮีเลียมในบรรยากาศชั้นนอกเหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างคือดาวเคราะห์ในกลุ่มของดาวยักษ์น้ำแข็งมีสัดส่วนของไฮโดรเจนและฮีเลียมน้อยกว่าดาวเคราะห์ในกลุ่มของดาวยักษ์แก๊ส องค์ประกอบภายในส่วนใหญ่ของดาวยักษ์น้ำแข็งเป็นโมเลกุลของน้ำ แอมโมเนีย และมีเทน
ดาวยูเรนัสมีดาวบริวารที่ยืนยันการค้นพบแล้ว 27 ดวง ดวงใหญ่ที่สุดคือทิเทเนีย ค้นพบโดย เฮอร์เชล มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 1,578 กิโลเมตร เล็กกว่าครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์บริวารของโลก ดาวยูเรนัสมีวงแหวนบางๆ จำนวน 13 วง แต่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดแบบดาวเสาร์ การค้นพบวงแหวนครั้งแรกมาจากการสังเกตดาวยูเรนัสบังดาวฤกษ์เมื่อ พ.ศ. 2520 ขณะนั้นนักดาราศาสตร์พบว่ามีบางสิ่งบางอย่างบดบังดาว 5 ครั้ง ก่อนและหลังการบังโดยดาวยูเรนัส จึงได้ข้อสรุปว่าบางสิ่งที่ว่านี้คือระบบวงแหวน
ปีนี้ดาวยูเรนัสอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ในวันที่ 20 ต.ค. 2560 โดยอยู่ในกลุ่มดาวปลา หากท้องฟ้าเปิด ไม่มีเมฆฝนบดบังจะสามารถสังเกตดาวยูเรนัสได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์โดยต้องทราบตำแหน่งที่แน่นอนบนท้องฟ้า เราสามารถทราบตำแหน่งดาวยูเรนัสได้จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ดาวน์โหลดมาใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างโปรแกรม Stellarium ซึ่งแสดงภาพจำลองดาวบนท้องฟ้าให้เห็นในเวลาที่ต้องการ รวมทั้งแอพพลิเคชั่นต่างๆ ในโทรศัพท์เคลื่อนที่และแท็บเล็ต
ปรากฏการณ์ที่สนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับดาวยูเรนัสสำหรับประเทศไทยคือดาวยูเรนัสจะถูกดวงจันทร์บังขณะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 8 พ.ย. 2565 สามารถสังเกตเห็นดาวยูเรนัสอยู่ใกล้ขอบดวงจันทร์ด้วยการดูผ่านกล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์
ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (15-22 ต.ค.)
ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์สว่างดวงเดียวที่ปรากฏในเวลาหัวค่ำ มีตำแหน่งบนท้องฟ้าอยู่ในกลุ่มดาวคนแบกงู ซึ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของกลุ่มดาวนี้คั่นอยู่ระหว่างกลุ่มดาวแมงป่องกับคนยิงธนู เมื่อท้องฟ้ามืดลงพอสมควรจะเริ่มเห็นดาวเสาร์อยู่สูงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากนั้นเคลื่อนต่ำลงจนตกลับขอบฟ้าในเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง
ดาวศุกร์และดาวอังคารอยู่บนท้องฟ้าเวลาเช้ามืดในกลุ่มดาวหญิงสาว โดยทั้งคู่อยู่ทางทิศตะวันออก ดาวอังคารซึ่งสว่างน้อยกว่าดาวศุกร์หลายเท่าจะขึ้นเหนือขอบฟ้าก่อนในเวลาประมาณตี 4 ครึ่ง หรือก่อนหน้านั้นเล็กน้อย แต่ยังสังเกตได้ยาก ต้องรอให้เคลื่อนสูงเหนือขอบฟ้ามากขึ้นในเวลาประมาณตี 5 ซึ่งในเวลานั้นหากใกล้ขอบฟ้าไม่มีอะไรบดบังควรจะเห็นดาวศุกร์ปรากฏอยู่ต่ำกว่าดาวอังคาร
ต้นสัปดาห์นี้เป็นข้างแรม จันทร์เสี้ยวอยู่ทางทิศตะวันออกในเวลาเช้ามืด วันที่ 16 ต.ค. ดวงจันทร์อยู่ใกล้ดาวหัวใจสิงห์ในกลุ่มดาวสิงโตที่ระยะ 7 องศา วันที่ 17 ต.ค. ดวงจันทร์เคลื่อนไปอยู่ใกล้ดาวอังคารที่ระยะ 6 องศา วันที่ 18 ต.ค. จันทร์เสี้ยวอยู่ใกล้ดาวศุกร์ที่ระยะ 2 องศา จากนั้นเคลื่อนไปอยู่แนวเดียวกับดวงอาทิตย์ในวันที่ 20 ต.ค.
สถานีอวกาศนานาชาติซึ่งโคจรรอบโลกที่ความสูงประมาณ 400 กิโลเมตร ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาเปล่าในเวลากลางคืนเมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบ โดยมีลักษณะเป็นดาวสว่างเคลื่อนที่บนท้องฟ้า คืนวันพุธที่ 18 ต.ค. 2560 กรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียงจะเห็นสถานีอวกาศเริ่มปรากฏทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในเวลา 19.31 น. จากนั้นเคลื่อนสูงขึ้นไปทางซ้ายพร้อมกับสว่างขึ้น ก่อนจะหายลับไปในอีก 2 นาทีถัดมา เมื่อเข้าสู่เงามืดของโลกทางทิศตะวันตกขณะอยู่ที่มุมเงย 37 องศา
คืนวันพฤหัสบดีที่ 19 ต.ค. 2560 สถานีอวกาศเริ่มปรากฏทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในเวลา 18.39 น. จากนั้นเคลื่อนสูงขึ้นไปทางขวา ถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในเวลา 18.42 น. ที่มุมเงย 52 องศา แล้วเคลื่อนต่ำลง สิ้นสุดการมองเห็นเมื่อสถานีอวกาศเข้าสู่เงามืดของโลกเหนือขอบฟ้าทิศตะวันออกเฉียงใต้ในเวลา 18.45 น.
คืนวันเสาร์ที่ 21 ต.ค. 2560 สถานีอวกาศเริ่มปรากฏทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในเวลา 18.30 น. จากนั้นเคลื่อนสูงขึ้นไปทางซ้าย ถึงจุดสูงสุดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในเวลา 18.33 น. ที่มุมเงย 34 องศา ขณะอยู่ใกล้ดาวเสาร์ สิ้นสุดการมองเห็นใกล้ขอบฟ้าทิศตะวันออกเฉียงใต้ในเวลา 18.37 น.


