ราชรถอันประเสริฐยิ่ง
ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สำหรับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9
โดย ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม
ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สำหรับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25-29 ต.ค. 2560 ที่คาดว่าจะยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ และอยู่ในความทรงจำของพสกนิกรชาวไทยแน่นอน
คนไทยที่ได้เกิดในยุคในหลวงรัชกาลที่ 9 นับว่าโชคดี และภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้เห็นและสัมผัสถึงพระบารมีของพระองค์ตลอดการครองราชย์ที่ยาวนาน 64 ปี ทำให้แผ่นดินไทยมีความสุขร่มเย็น พระองค์เป็นแบบอย่างของการดำเนินชีวิต การปกครองโดยธรรม การเอาใจใส่ราษฎรในทุกหนแห่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้ในยามที่ทรงพระประชวรก็ตาม รวมถึงพระปรีชาสามารถด้านต่างๆ ทั้งดนตรี กีฬา การประดิษฐ์ และทิ้งแนวทางปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" ให้คนไทยไว้ใช้ในการดำเนินชีวิต
ไม่แปลกใจเลยหลังการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ประชุมสหประชาชาติได้กล่าวสดุดียกย่องให้เป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ยิ่งใหญ่ ขณะที่คนไทยทั้งชาติยังคงเดินทางหลั่งไหลจากทุกสารทิศเป็นจำนวนมาก ไม่หวั่นแม้ฝนจะตกหนักก็ต่อคิวยาวเหยียดเพื่อแสดงความอาลัยเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพที่พระบรมมหาราชวัง รวมแล้วตลอด 336 วัน มีประชาชนเข้าร่วมสูงถึง 12 ล้านคน และเชื่อว่าในพระราชพิธีถวายพระเพลิงที่จะมีขึ้นอีกไม่กี่วันนี้ จะมีคนไทยจากทั่วทุกสารทิศมุ่งหน้ามาที่สนามหลวงนับล้านเพื่อร่วมส่งเสด็จสู่สรวงสวรรค์
ช่วงสำคัญของพระราชพิธีถวายพระเพลิงอยู่ที่วันที่ 26 ต.ค. เพราะจะมีการอัญเชิญพระบรมศพจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทไปสู่พระเมรุมาศท้องสนามหลวง ด้วยขบวนพระราชอิสริยยศอย่างสมพระเกียรติสูงสุด
ราชรถ ราชยาน และเครื่องประกอบต่างๆ ที่นำมาใช้ในพระราชพิธีมีการตกแต่ง บูรณะใหม่จากหน่วยทหารและกรมศิลปากร เช่นเดียวกับพลฉุดชักที่ใช้ทหารประจำหน่วยต่างๆ กว่าจะถูกคัดเลือก ต้องเช็กสภาพร่างกาย ความพร้อม ส่วนสูงให้ได้มาตรฐาน ช่วงที่กรมสรรพาวุธทหารบก หน่วยงานที่รับหน้าที่ในการบูรณปฏิสังขรณ์และประกอบสร้างราชรถ ประกาศรับสมัครพลฉุดชักลาก ปรากฏว่ามีทหารในกรมแจ้งความประสงค์อย่างล้นหลาม ท่านเจ้ากรมเล่าว่า ทหารเกณฑ์บางคนถึงกับไปแอบต่อรองเท้าให้ตัวสูงขึ้นให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดหวังเข้าร่วมงานพระเกียรติครั้งนี้ บางคนอ้วนเกินไปก็ไปรีบลดน้ำหนักเพื่อให้ถูกคัดเลือกร่วมภารกิจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้ใกล้ชิดพระองค์ในวาระสุดท้าย
สำหรับริ้วขบวนพระราชอิสริยยศจะมี 6 ริ้วขบวน จุดสำคัญอยู่ที่ริ้วขบวนที่ 2 ที่จะมีพระมหาพิชัยราชรถ อัญเชิญพระบรมโกศไปยังพระเมรุมาศ
พระมหาพิชัยราชรถมีประวัติความเป็นมายาวนาน พงศาวดารระบุว่า เป็นราชรถที่ใช้อัญเชิญพระโกศพระบรมศพตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เริ่มตั้งแต่ปี 2225 พระเพทราชาแต่งการพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในพระโกศทองคำสู่มหาพิชัยราชรถอลงกต เทียมด้วยม้าต้น 2 คู่สู่พระเมรุ ต่อมาในปี 2249 สมเด็จพระเจ้าเสือ อัญเชิญพระบรมศพพระเพทราชาสู่มหาพิชัยราชรถปิลันทนา และปี 2249 สมเด็จพระที่นั่งท้ายสระให้เชิญพระบรมโกศพระบรมศพพระเจ้าเสือขึ้นบนพระมหาพิชัยราชรถ เสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตแห่แหนพระบรมศพไปตามรัถยาราชนิวัติเข้าสู่พระเมรุมาศ ครั้งสุดท้ายปี 2279 พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงจัดการพระศพเจ้ากรมหลวงโยธาเทพขึ้นพระมหาพิชัยราชรถ แห่เป็นกระบวนเข้าไปในพระเมรุ
เมื่อไทยทำสงครามกับพม่าในปี 2310 พระมหาพิชัยราชรถและราชรถอื่นๆ ได้สูญหาย สันนิษฐานว่าถูกเผาหมด ต่อมารัชกาลที่ 1 ทรงให้สร้างพระมหาพิชัยราชรถขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในงานพระเมรุของพระปฐมบรมชนกนาถของพระองค์ในปี 2338 รวมถึงพระเวชยันตราชรถ และราชรถน้อยอีก 3 องค์ ซึ่งเป็นการจำลองคติเขาพระสุเมรุ เพื่อใช้ในการแห่พระโกศ จนกระทั่งใช้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
พระมหาพิชัยราชรถ มีขนาดใหญ่สูง 11.20 เมตร ยาว 18 เมตร ใช้อัญเชิญพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดมา รวมแล้ว 15 ครั้ง ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 เมื่อเวลาผ่านไปก็ชำรุดทรุดลง มีการซ่อมแซมในสมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อให้สวยงามและเพิ่มล้ออีกที่ใต้ตัวราชรถ ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระมหาพิชัยราชรถชำรุดอีกครั้งและมิได้ออกใช้ในราชการ ต่อมากรมศิลปากรได้บูรณะซ่อมแซมเสริมความมั่นคงอีกจนเสร็จสิ้นในปี 2530 และได้ใช้อัญเชิญพระโกศพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มาครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2555 อัญเชิญพระโกศพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
ผู้รู้บางท่านบอกว่าชื่อราชรถ “พระมหาพิไชย” ที่ใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาความหมายถึง ราชรถอันประเสริฐยิ่ง (อ้างอิง ยุทธนาวรากร แสงอร่าม) และในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์คำว่า พระมหาพิชัย หมายถึง “มหาราชรถแห่งผู้ชนะ” สันนิษฐานว่ามาจากคติเดิมที่ถือกันว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ป้องกันภัย ทรงเป็นชาตินักรบ ในโอกาสสุดท้ายของการส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย จึงถวายราชรถที่ใหญ่และงดงามวิจิตรและให้นามว่า พระมหาพิชัยราชรถ หมายถึง ราชรถแห่งพระผู้ชนะ


