ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยลดลงได้อีก
สมภัสสร ฤกษ์สมบูรณ์ดี และ ณัฏฐปัณฑ์ ธนวิชชบูรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ หรือ NIM ของไทยปรับลดลงได้อีก หากธนาคารพาณิชย์สามารถปรับลดต้นทุนความเสี่ยงของลูกหนี้ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การลดต้นทุนการดำเนินงานจากการเพิ่มประสิทธิภาพของธนาคารพาณิชย์ และเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป
สมภัสสร ฤกษ์สมบูรณ์ดี และ ณัฏฐปัณฑ์ ธนวิชชบูรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ หรือ NIM ของไทยปรับลดลงได้อีก หากธนาคารพาณิชย์สามารถปรับลดต้นทุนความเสี่ยงของลูกหนี้ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การลดต้นทุนการดำเนินงานจากการเพิ่มประสิทธิภาพของธนาคารพาณิชย์ และเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป
ตัวเลขส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและกำไรของธนาคารพาณิชย์มักอยู่ในความสนใจของสาธารณชน และมีการนำตัวเลขดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ อยู่เสมอ ส่วนหนึ่งเนื่องจากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนต้นทุนทางการเงินที่ประชาชนและธุรกิจต้องจ่ายให้แก่ธนาคารพาณิชย์ในรูปของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ ขณะเดียวกัน ยังสะท้อนอัตราผลตอบแทนทาง การเงินที่จะได้รับจากการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ 1.ความหมายของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย การคำนวณส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสามารถทำได้ 3 วิธี (1) Nominal Spread คือ ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก คำนวณโดยใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลบด้วยอัตราดอกเบี้ย เงินฝาก เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) ของระบบธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยที่ร้อยละ 7.24 ลบด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์เฉลี่ยที่ร้อยละ 0.54 ได้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ร้อยละ 6.70 (2) Effective Spread คือ ส่วน ต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรับเฉลี่ย (Effective Loan Rate : ELR) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจ่ายเฉลี่ย (Effective Deposit Rate : EDR) ซึ่งหากคำนวณจากข้อมูลของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2 ปี 2560 พบว่า อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรับเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 5.02 และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.41 Effective Spread อยู่ที่ร้อยละ 3.61 (3) Net Interest Margin (NIM) หรือส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ คำนวณจากดอกเบี้ยรับทั้งสิ้นจากสินเชื่อ การให้กู้ยืมระหว่างสถาบันการเงินและเงินลงทุน ลบด้วยมูลค่าดอกเบี้ยจ่ายทั้งสิ้นและเงินกู้ยืมทุกประเภท รวมถึงเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก หารด้วยสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Average Interest Earning Assets) โดยในไตรมาส 2 ปี 2560 ระบบธนาคารพาณิชย์มีรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิหลังหักดอกเบี้ยจ่ายคิดเป็นสัดส่วนต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ที่ร้อยละ 2.76
NIM ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัว อยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.7-2.8 และหากเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน NIM ของไทยจะอยู่ในระดับกลางๆ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการกับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) รวมถึงรายย่อย มีต้นทุนการเปิดสาขาและการให้ บริการ ตลอดจนความเสี่ยงจากสินเชื่อที่สูงกว่าธนาคารที่ให้บริการลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่
2.NIM และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์
มักมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่า ทำไมอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SMEs จึงค่อนข้างสูง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างต่ำมาจากต้นทุนดังนี้
(1) ต้นทุนทางการเงิน (Funding Cost) หรือต้นทุนของเงินที่ธนาคารพาณิชย์นำมาปล่อยสินเชื่อ ซึ่งได้ มาจากการรับเงินฝากจากประชาชน การออกตราสารหนี้ รวมถึงการกู้ยืม ในตลาดเงินหรือกู้ยืมกับสถาบันการเงินอื่น รวมถึงการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และการประกันเงินฝากอีกร้อยละ 0.47 ของเงินรับฝากด้วย ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ต้นทุนทางการเงินโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงและ อยู่ในระดับต่ำ สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งสะท้อนต้นทุนการ กู้ยืมเงินในตลาดเงินระยะสั้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินรับฝากมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน
(2) ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (Creditcost) ธนาคารพาณิชย์จะต้องกันเงินสำรอง (Provision) ส่วนหนึ่งจากสินเชื่อที่ปล่อยไป สำหรับรองรับกรณีที่ลูกหนี้อาจไม่ชำระหนี้ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา Credit Cost ของธนาคารพาณิชย์ไทยเพิ่มขึ้นจากอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ ที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับ ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ
หากเทียบกับต่างประเทศ พบว่าต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย ค่อนข้างสูงกว่าประเทศอื่นๆ เห็นได้จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของไทยอยู่ในระดับสูงกว่าเพื่อนบ้านหลายประเทศ มีสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังทยอยฟื้นตัวจาก ผลกระทบของเศรษฐกิจโลกและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ พอร์ตสินเชื่อของไทยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ให้กับธุรกิจ SMEs
(3) ต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Cost) ซึ่งประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสาขาและเครือข่าย ATM ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเงินสด รวมทั้งการติดตามและดูแลหนี้ และค่าใช้จ่ายภาษี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ไทยมีต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นโดยมาจากค่าใช้จ่ายพนักงานเป็นหลัก นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังมีต้นทุน อื่นๆ จากการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ของทางการ
ผลการวิเคราะห์ต้นทุนหลักทั้ง 3 ส่วนของธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวข้างต้น พบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนทางการเงินปรับลดลง โดยธนาคารพาณิชย์ได้ส่งผ่าน Funding Cost ที่ลดลงไปสู่ภาคเอกชน เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อปล่อยใหม่ (New Loan Rate : NLR) ที่ปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและลดลงมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิง (MLR และ MRR)
ในขณะที่ NIM ซึ่งเป็นตัวเลข ผลกำไรจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธินั้น ค่อนข้างทรงตัว สะท้อนว่าธนาคาร พาณิชย์ปรับลด Profit Margin จากการปล่อยสินเชื่อลง แทนที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่จะทำให้ NIM เพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ซึ่งการปรับลด Profit Margin จากการปล่อยสินเชื่อนี้ ส่งผลให้อัตรากำไรโดยรวมของธนาคารพาณิชย์ หรืออัตรากำไรต่อส่วนของ ผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยปรับลดลงด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่า ROE ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
3.แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันในระบบ
NIM ของไทยที่อยู่ในระดับกลางๆ เทียบกับประเทศอื่น แสดงถึงโอกาส ที่ NIM จะปรับลงได้อีกหากธนาคารพาณิชย์สามารถลดต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อและต้นทุนค่าใช้จ่ายดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านลงได้ และจะทำให้ธนาคารพาณิชย์สามารถ ส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงไปยังภาคธุรกิจและประชาชนในรูปแบบอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่ลดลง
นอกจากนี้ การเพิ่มการแข่งขันจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถคิดอัตรากำไรได้สูงเกินควร และยังกระตุ้นให้ธนาคารลดต้นทุนลงเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ เช่น การแข่งขันในตลาด สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีการแข่งขันให้ สินเชื่อจากหลายสถาบัน เช่น ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) และสหกรณ์ ส่งผลให้ลูกหนี้ จ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินกู้โดยเฉลี่ย ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิง MLR และ MRR
ทั้งนี้ ต้นทุนของธุรกิจและประชาชน รวมถึงต้นทุนของภาคธนาคารที่ลดลงจะช่วยให้ต้นทุนโดยรวมของระบบเศรษฐกิจการเงินลดลง และเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป n


