ดร.สุนทร บุญญาธิการ เทคโนโลยีสร้างความยั่งยืน
เรื่อง โยธิน อยู่จงดีภาพ เสกสรร โรจนเมธากุลในเวลาที่ประเทศไทยมองไปถึงยุค 4.0 แต่มีอยู่บุคคลหนึ่งที่บอกกับเราต้องมองไกลไปกว่านั้นมองให้ถึงยุค 5.0 ยุคที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีช่วยสร้างความยั่งยืน บุคคลนั้นคือ ศ.ดร.สุนทร บุญญาธิการ กรรมการสภาสถาปนิก ซึ่งอยู่ในช่วงของการเตรียมงานแสดง BMAM & GBR EXPO Asia 2017 ซึ่งจะจัดแสดงในส่วนของต้นแบบบ้านประหยัดพลังงานที่ออกแบบโดยสภาสถาปนิก และการออกแบบเมืองอัจฉริยะ ในวันที่ 20-22 ก.ย. 2560 ที่ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
เรื่อง โยธิน อยู่จงดีภาพ เสกสรร โรจนเมธากุล
ในเวลาที่ประเทศไทยมองไปถึงยุค 4.0 แต่มีอยู่บุคคลหนึ่งที่บอกกับเราต้องมองไกลไปกว่านั้นมองให้ถึงยุค 5.0 ยุคที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีช่วยสร้างความยั่งยืน บุคคลนั้นคือ ศ.ดร.สุนทร บุญญาธิการ กรรมการสภาสถาปนิก ซึ่งอยู่ในช่วงของการเตรียมงานแสดง BMAM & GBR EXPO Asia 2017 ซึ่งจะจัดแสดงในส่วนของต้นแบบบ้านประหยัดพลังงานที่ออกแบบโดยสภาสถาปนิก และการออกแบบเมืองอัจฉริยะ ในวันที่ 20-22 ก.ย. 2560 ที่ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
ศ.ดร.สุนทร กล่าวทักทายกับเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้ในวัยที่ล่วงเลย แต่ดูเหมือนว่ากาลเวลาและเทคโนโลยีไม่ได้ทำให้ชายผู้นี้ดูอ่อนแรงและล้าหลังแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อเรา พูดถึงเรื่องของเทคโนโลยีที่ช่วยในการออกแบบบ้านสมัยใหม่
"ผมมองว่าเวลานี้เทคโนโลยีนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนโลก ในมุมมองของสถาปนิก เราต้องเรียนรู้ที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในงานออกแบบเพื่ออัพเกรด ตัวเองให้เป็นนักออกแบบยุค 4.0 มีความละเอียดในการออกแบบและการบริหารจัดการบ้านและอาคารให้มีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของโลกที่ต้องการระบบบ้านที่สูงขึ้น มีระบบควบคุมภายใน ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อยู่สุขสบายสุดเจ็บป่วย แก่ช้า อายุยืนยาว มีความปลอดภัยสูง
ผมมองว่า การออกแบบในยุค 4.0 ยังไม่พอ ต้องออกแบบให้เป็นบ้านในยุค 5.0 เราถึงจะชนะคนทั้งโลกได้ การออกแบบในยุคนี้เป็นการออกแบบอย่างยั่งยืน เราต้องมองการออกแบบบ้านหรืออาคารให้เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองใช้สายลม แสงแดด ธาตุอาหารจากดินจากน้ำ มาเป็นพลังงาน นำของเสียมารีไซเคิลได้
บ้านที่ใช้วัสดุกันความร้อน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นมิตรต่อผู้อยู่อาศัยอยู่แล้วดีต่อสุขภาพ ช่วยประหยัดพลังงาน มีระบบไฟฟ้าภายในบ้านที่กินไฟต่ำ มีเทคโนโลยีอัจฉริยะควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ควบคุมการใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถผลิตไฟฟ้าแผงโซลาร์เซลล์ที่เพียงพอกับการใช้งานภายในบ้านและยังเหลือพอสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่รถไฟฟ้าในอนาคต ระบบการใช้น้ำและบำบัดของเสียก็เป็นสิ่งที่เราต้องตอบโจทย์ความต้องการของโลกอนาคตตรงนี้ให้ได้
ในมุมมองหนึ่งหากเรานำบ้านที่อยู่ในยุค 1.0 ก็คือบ้านทั่วไปที่เห็นในเมือง แล้วเอาระบบการจัดการพลังงานอัจฉริยะเข้าไปควบคุม ก็จะลดพลังงานการใช้ไฟฟ้าลงไปได้เพียงแค่ 30 หน่วย จาก 150 หน่วยเท่านั้น เพราะว่าบ้านทั่วไปใช้พลังงาน 150 หน่วย ลดไป 30 หน่วยก็ยังเหลือ 120 หน่วย ในขณะที่บ้านอัจฉริยะ ซึ่งเป็นบ้านยุค 4.0 จะใช้พลังงานเพียงแค่ 10 ถึง 15 หน่วยเท่านั้น หมายความว่าจะมีความต่างถึง 100 หน่วยที่เกิดขึ้นมาจากการออกแบบ
ถ้าเราให้ความใส่ใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ต้น ลงทุนในเรื่องการออกแบบ เราก็จะคืนทุนค่าออกแบบนั้นภายในเวลาไม่กี่ปี จากพลังงานที่ลดลงไปได้มากกว่า 10 เท่า ซึ่งไปดูบ้านตัวอย่างได้ที่งาน BMAM & GBR EXPO Asia 2017"
เมื่อเราถามถึงเทคโนโลยีที่กรรมการสภาสถาปนิกชื่นชอบมากที่สุด ผู้อาวุโสแห่งวงการออกแบบตอบอย่างไม่ลังเลว่า เป็นสมาร์ทโฟนที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
"ลองนึกภาพดูในสมัยก่อนผมเริ่มใช้คอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ยุคที่ยังมีหน่วยความจำเพียงแค่ 64 กิโลไบต์ กับเครื่อง IBM รุ่นแรกๆ ตอนนี้ปริมาณข้อมูลจัดเก็บมหาศาลเก็บในฮาร์ดดิสก์ได้ยังไม่พอ ยังมีระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง ที่ดึงข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้อีก อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ย่อลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ เป็นสมาร์ทโฟนที่เข้าหาข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา
อย่างผมต้องการหาเส้นทางไปมหาวิทยาลัยบูรพา แค่พิมพ์ชื่อเข้าไปเครื่องก็สามารถนำทางไปได้ในทันที หรือสามารถมอนิเตอร์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และระบบควบคุมต่างๆ ภายในบ้านได้ เพราะเรากำลังเข้าสู่ยุค IOT (Internet Of Thing)
นวัตกรรมเปลี่ยนแปลงโลก เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์เล็กๆ ที่ ไปฝังอยู่ตามอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ สมัยก่อนผมจะวัดอุณหภูมิภายในบ้าน ผมจะต้องต่อสายเครื่องวัดเดินสายไฟยุ่งยาก แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเชื่อมต่อผ่านระบบไว-ไฟ ส่งข้อมูลทั้งหมดเข้ามือถือพร้อมการประมวลผลได้ทันทีง่ายและมีประสิทธิภาพกว่า
ต่อมาก็คือ ระบบการจัดการฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นเทคโนโลยีที่ผมชื่นชอบมาก อย่างล่าสุดผมเดินทางไปโรงพยาบาลจุฬาฯ แต่ก่อนผมจะต้องเข้าไปที่เวชระเบียน เพื่อขอแฟ้มประวัติคนไข้แล้วส่งขึ้นไปที่ชั้นตรวจรักษาโรค แต่เดี๋ยวนี้แค่ผมบอกชื่อ เลขบัตรประชาชน ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจะถูกส่งขึ้นไปยังคอมพิวเตอร์ที่ห้องตรวจรักษา เราก็ไปเข้าคิวรอเรียกได้ทันทีไม่ต้องถือเอกสารอะไรมากมายเหมือนสมัยก่อน
สะท้อนให้เราเห็นได้ว่า สมัยนี้มีการบริหารจัดการเก็บข้อมูลที่เป็นระบบระเบียบ มีความปลอดภัยสูง มีความสะดวกสบายมากขึ้น และเป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้และตามโลกให้ทัน"
ศ.ดร.สุนทร ทิ้งท้ายว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าตามโลกไม่ทันก็จะถูกทิ้งไว้อยู่ข้างหลัง และจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้ยาก อายุมากก็ไม่ใช่อุปสรรค หากใจรักที่จะเรียนรู้
"จำไว้ว่า หากเราไม่ใช่ส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา เรานั่นล่ะที่จะกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง" n


