posttoday

สูตรการเงินฉบับเชฟ สุรกิจ เข็มแก้ว

02 สิงหาคม 2560

จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์อาชีพเชฟ เป็นหนึ่งในอาชีพที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันอยากจะเป็น และเป็นอาชีพที่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้สูง เนื่องจากเชฟเป็นที่ต้องการทั้งของร้านอาหารและโรงแรมที่มีส่วนงานอาหารและเครื่องดื่ม

จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

อาชีพเชฟ เป็นหนึ่งในอาชีพที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันอยากจะเป็น และเป็นอาชีพที่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้สูง เนื่องจากเชฟเป็นที่ต้องการทั้งของร้านอาหารและโรงแรมที่มีส่วนงานอาหารและเครื่องดื่ม

หากเป็นเชฟและบริหารเงินได้ดีก็มีโอกาสเดินไปสู่ความมั่งคั่งได้ไม่ยาก

สุรกิจ เข็มแก้ว หรือ เชฟปิง ก็เป็นอีกหนึ่งคนรุ่นใหม่ ไฟแรงที่ก้าวเข้าสู่วงการเชฟ โดยปัจจุบันเป็นเชฟผู้บริหารอยู่ที่ ร้านซีเอโล่ สกายบาร์ พร้อมกับมีงานอื่นๆ เสริมด้วย

เชฟปิง เล่าว่า สาเหตุที่เลือกทำงานเชฟ เพราะมองว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ชอบและน่าจะหาเลี้ยงชีพไปได้ระยะยาว เนื่องจากใช้ชีวิตอยู่กับอาหารตลอดเวลา ซึ่งก็คลุกคลีอยู่ในอาชีพนี้มา 7-8 ปีแล้ว

เมื่อ 3 ปีก่อนไปทำงานอยู่ที่อเมริกาก็เป็นช่วงหัวโค้งสำคัญของชีวิตที่ทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของการออม

ในช่วงเวลานั้นจะได้รับรายได้เข้ามาก็ต่อเมื่อมีงานจ้าง ซึ่งแต่ละสัปดาห์ก็มีงานไม่เท่ากัน ทำให้รายได้ไม่สม่ำเสมอ จึงต้องรู้จักการจัดสรรเงิน

หลักการที่ใช้คือจะแบ่งเงินที่ได้ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกไว้ใช้จ่ายทั่วไป รวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถ จิปาถะที่ต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ที่เหลือจะแบ่งเป็นเงินเก็บระยะยาวสำหรับใช้ยามเกษียณและเงินเก็บที่ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากเกินกว่าที่วาง งบไว้

นอกเหนือจากการแบ่งเก็บเงินแล้ว เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยและได้ทำงานเป็นเชฟประจำ ได้เงินเดือน ก็เริ่มมองหาช่องทางรายได้เพิ่มเติม ได้แก่ การรับเป็นเชฟที่ปรึกษา การไปถ่ายรายการต่างๆ และการไปออกงานอีเวนต์

"ผมมองว่ารายได้แต่ละทางที่ได้มา ไม่มีทางไหนที่แน่นอน รายได้บางด้านเราไม่รู้ว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่ ส่วนเงินเดือนจากการเป็นเชฟประจำ ถ้าในกรณีร้านอาหารนี้ไม่มีอยู่แล้วก็ต้องหางานใหม่ เท่ากับว่าทุกอย่างมีความเสี่ยง ดังนั้นก็ต้องบริหารรายได้ที่มาจาก 4 ทางกับเวลาที่มีอยู่ โดยงานหลักเชฟบริหาร ทำงาน 20 วัน ก็จะนำวันหยุดที่เหลือไปใช้หารายได้ ทางอื่น"

เชฟปิง ระบุเพิ่มเติมว่า ในการวางแผนการเงินของเขานั้น อยู่บนพื้นฐานที่เชื่อว่าตัวเองจะยังคงทำงานต่อไปได้แม้ว่าจะอยู่ในวัยเกษียณอายุแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องเก็บออมไว้ก่อนเพราะอาชีพเชฟมีความเสี่ยงในการหารายได้ เป็นอาชีพที่เสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงานสูง

เมื่อไหร่ที่ร่างกายไม่พร้อม หรือเกิดอุบัติเหตุจากการ ทำงานหรือจากสาเหตุอื่นจนไม่สามารถทำงานได้ทั้งสัปดาห์หรือทั้งเดือนก็ต้องพักหารายได้ไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมีเงินเผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉินสูง จะหวังพึ่งเพียงประกันที่ทำไว้ไม่ได้

สำหรับเงินเก็บนั้น เชฟปิงจะนำไปลงทุนหลากหลาย รูปแบบ เริ่มตั้งแต่การซื้อกองทุนหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) เพื่อลดหย่อนภาษี รวมไปถึงการลงทุนสะสมนาฬิกาบางรุ่นเพื่อรอขายเมื่อมีมูลค่าเพิ่มมากๆ เพราะนาฬิกาบางรุ่นเป็นของสะสม ของหายาก

นอกจากซื้อมาแล้วได้ใช้งาน ก็ยังมีข้อดีคือมูลค่า ไม่ลดลง เหมาะแก่การซื้อเพื่อทำกำไรไปพร้อมกับการ ได้ใช้ประโยชน์ในตัว ตัวอย่างคือ เชฟปิงซื้อนาฬิกาเรือนหนึ่งมาในราคาเรือนละ 2 แสนบาท ซึ่งก็ได้ใช้สวมใส่ในชีวิตประจำวันด้วย เวลาผ่านไป 6 เดือน นาฬิกาเรือนนั้นราคาขึ้นมา 1 แสนบาทแล้ว

เชฟปิง เล่าต่อว่า นาฬิกานั้นต่างจากกล้องถ่ายภาพ เพราะกล้องถ่ายภาพซื้อมาไม่นานมูลค่าก็หายไปมากตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป แต่นาฬิกาบางยี่ห้อนั้นราคายังคงปรับขึ้นได้อย่าง ต่อเนื่อง

หากศึกษาให้ดีซื้อไว้ 8 เดือน-1 ปีก็ได้กำไรแล้ว ขณะที่ เชฟปิงนั้นยังไม่ได้ขายนาฬิกาที่ซื้อออกไป เพราะตั้งใจว่าจะขายออกก็ต่อเมื่อผ่านไปแล้ว 1-2 ปี

นอกเหนือจากการนำเงินเก็บไปลงทุนแล้ว เชฟปิงยังวางหลักการใช้จ่ายของตัวเองเอาไว้ว่า จะต้องใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่เกิน 1 ใน 3 ของเงินที่หามาได้ เพราะจะได้ไม่มีปัญหาจ่ายค่าบัตรเครดิตไม่ไหว

ทั้งนี้ เชฟปิง มองว่า การออมเป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิต แต่คนรุ่นใหม่ๆ วางแผนการออมกันน้อยมาก ไม่ต้องไปดูตัวอย่างที่ไหนไกล

เพราะตัวอย่างมีให้เห็นอยู่รอบตัว บางคนช่วงไหน ได้เงินมามากก็ใช้จนหมด ช่วงที่ไม่มีเงินเข้ามา ก็ไม่เหลืออะไรเลย ส่วนมากแล้วจะมองเพียงการมีเงินพอใช้ไปวันๆ หนึ่งมากกว่า

มิหนำซ้ำ บางคนยังไปนำเงินในอนาคตมาใช้ด้วย เพียงเพื่อซื้อสิ่งของมาส่งเสริมภาพลักษณ์ของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงว่าความต้องการเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับรายได้ที่หามาได้ ซึ่งเชฟปิงไม่ต้องการเป็นเช่นนั้น

ทว่า เชฟปิง ยอมรับแต่โดยดีว่าโดยส่วนตัวก็ไม่ได้ทำตามแผนการเก็บเงินได้ 100% ทุกครั้งไป อาจจะมีบ้างใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ก็จะชดเชยด้วยการเก็บมากขึ้น ซึ่งเชฟปิงมองว่า ปัจจุบันการวางแผนการเงินทำได้ง่ายมาก มีแอพพลิเคชั่นต่างๆ เป็นตัวช่วยมากมายให้บันทึกรายการใช้จ่ายและทำให้เห็นภาพการใช้จ่ายของตัวเองได้ดีขึ้น

เมื่อมองไปถึงอนาคตแล้ว เชฟปิง เชื่อว่า หากวางแผนการเงินไว้ดี เดินตามรอยแผนที่วางไว้ หลังอายุ 60 ปีไปแล้วชีวิตก็คงจะยืดหยุ่นมากๆ อยากทำงานแค่ไหนก็ได้ ออกไปเที่ยวนานแค่ไหนก็ได้โดยที่ครอบครัวไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องรอเงินจากลูกหลาน

นี่คือหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดดีๆ นอกจากหารายได้เพิ่ม ยังรู้จักเก็บออม และวางแผนการใช้จ่ายด้วย

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน