สื่อจีนกับคดีลักพาตัวจางอิ๋งอิ่ง
เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เกิดคดีสะเทือนขวัญที่สหรัฐอเมริกา จางอิ๋งอิ่ง นักศึกษาสาวชาวจีนอายุ 26 ปี ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์บานา-แชมเปญจน์ หายตัวไปอย่างลึกลับ เบาะแสสุดท้ายเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดริมถนน
เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เกิดคดีสะเทือนขวัญที่สหรัฐอเมริกา จางอิ๋งอิ่ง นักศึกษาสาวชาวจีนอายุ 26 ปี ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์บานา-แชมเปญจน์ หายตัวไปอย่างลึกลับ เบาะแสสุดท้ายเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดริมถนน
มีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งจอดพูดคุยกับเธอ แล้วเธอก็ขึ้นรถคันนั้นอย่างสมัครใจในวันที่ 9 มิ.ย.
มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีนักศึกษาจีนมาเรียนมากที่สุดในสหรัฐ กระแสการตามหาตัวเธอจึงแพร่หลายไปสู่จีนอย่างรวดเร็ว
ไม่นานเอฟบีไอรู้ตัวผู้ต้องสงสัย เพราะใน เมืองนี้มีผู้ใช้รถรุ่นและสีนี้เพียง 18 คันเท่านั้น
เบรนท์ คริสเตนเซน (Brendt Christensen) ชายอายุ 28 ปี ผู้ช่วยสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันกับที่จางอิ๋งอิ่งเรียน เป็นผู้ต้องสงสัย เขาไม่มีประวัติอาชญากรรม แต่รถที่เขาขับมีลักษณะและร่องรอยแบบเดียวกับคันที่เห็นในกล้องวงจรปิด เขาจึงถูกสอบสวน และปฏิเสธว่าจำเหตุการณ์อะไรในวันนั้นไม่ได้ แต่ตำรวจพบว่าเบาะข้างคนขับในรถเบรนท์ถูกขัดสีใหม่
แต่แล้วก็เขาเปลี่ยนคำให้การว่าในวันนั้นเห็นหญิงสาวชาวเอเชียคนหนึ่งท่าทางกังวลใจอยู่ริมทาง เขาเข้าไปสอบถามได้ความว่าเธอกำลังจะไปไม่ทันนัด จึงอาสาไปส่ง แต่เขาเลี้ยวรถผิดทาง เธอตกใจและรีบขอลงจากรถไป
เอฟบีไอปล่อยตัวเขาไปเนื่องจากหลักฐาน ไม่พอ แต่ก็คอยดักฟังโทรศัพท์และพบว่าเขาโทรคุยกับใครบางคนว่าได้ลักพาตัวสาวเอเชียคนหนึ่งไว้ ในเดือน เม.ย. เขาเข้าเว็บไซต์ประหลาดเกี่ยวกับการลักพาตัวจากมือถือของเขาเอง จากการตรวจสอบยังพบคลิปวิดีโอโป๊ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาสนใจในสาวเอเชีย
แต่กว่าจะจับกุมเบรนท์มาสืบสวนครั้งนี้ก็ปาเข้าไปวันที่ 30 มิ.ย.แล้ว และจนถึงเดือนนี้เขาก็ยังไม่รับสารภาพ
เอฟบีไอคาดว่า จางอิ๋งอิ่งคงเสียชีวิตแล้ว เอฟบีไอ ต้องรวบรวมหลักฐานมามัดตัวเบรนท์ให้ได้ หรือไม่ก็ต้องให้เบรนท์ตัดสินใจสารภาพเอง
ผมนั่งติดตามข่าวนี้จากสื่อจีน และได้รับข้อมูลหลายประเด็นที่น่าสนใจมากมาย เช่น ความ แตกต่างของแนวคิดในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนของจีนและสหรัฐอเมริกาในคดีนี้ ทั้งๆ ที่ดูเหมือนเบรนท์จะเป็นคนทำ แต่ทำไมยังต้องรอหลักฐานมัดตัวแน่นหนา หรือคำรับสารภาพอีก?
สาเหตุมาจากระบบกฎหมายของสหรัฐให้สิทธิไม่พูดแก่ผู้ต้องสงสัย
คอหนังสืบสวนสอบสวนอเมริกัน คงได้ยินกันบ่อยๆ ว่าก่อนจับกุมผู้ต้องหา ตำรวจต้องแจ้งข้อหาและสิทธิที่เขาจะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ โดยถ้อยคำของผู้ถูกจับกุมจะถูกใช้เป็นหลักฐานดำเนินคดี และผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะขอคำปรึกษาจากทนายความ...
คำพูดชุดข้างต้นเรียกว่าคำเตือนมิรันดา (Miranda Warning) ซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรณี มิรันดา ผู้ต้องหาในคดีลักพาตัวและข่มขืนเด็กสาวอายุ 17 ปี แม้จะรับสารภาพ แต่ทนายของมิรันดาใช้ช่องโหว่อ้างว่า ก่อนรับสารภาพลูกความเขาไม่ได้ถูกแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาจากตำรวจ เลยสามารถต่อสู้คดีได้อีกพักใหญ่
ตำรวจสหรัฐจึงต้องออกระเบียบปฏิบัติให้แจ้งสิทธิแก่ผู้ถูกจับกุม เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยอีก แต่สิทธินี้ก็มีผลข้างเคียง หากผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตำรวจต้องทำงานมากขึ้นเพื่อหาหลักฐาน
เบรนท์ไม่รับสารภาพ และหลักฐานยังไม่มัดตัว จึงยังไม่สามารถดำเนินคดีได้
เรื่องนี้เป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมจีน เนื่องมาจากความรู้สึกว่าตำรวจสหรัฐดำเนินการล่าช้า ถ้าเป็นที่จีนป่านนี้เบรนท์คงถูกบีบบังคับจนสารภาพ และสามารถช่วยชีวิตจางอิ๋งอิ่งได้แล้ว
เป็นความขัดแย้งของประเทศที่เน้นผลลัพธ์ฉับไว้ กับประเทศที่เน้นกระบวนการถูกต้อง
นอกจากนี้ บางรายการในสื่อจีนยังขยายประเด็นไปอีกหลายหัวข้อเช่น การวิเคราะห์การตัดสินใจ โดยคาดเดาว่าการขัดสีเบาะใหม่ส่อแววว่าเกิดจากร่องรอยการขัดขืนตั้งแต่บนรถ และสาเหตุที่เบรนท์ปล่อยให้เธอลงจากรถไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะเขาใช้วิธีบอกว่าตัวเองเป็นผู้ช่วยสอนในมหาวิทยาลัยเพื่อทำให้จางอิ๋งอิ่งไว้ใจ ซึ่งเท่ากับว่าเธอจำเบรนท์และเอาเรื่องกับเบรนท์ได้แน่นอน
กรณีที่อาชญากรที่เป็นคนรู้จัก และหากเหยื่อหนีรอดได้แล้วไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวในตัวอาชญากร จึงมีแนวโน้มที่เหยื่อจะถูกฆ่าปิดปาก
นักจิตวิทยาในสื่อจีนยังบอกว่า อาชญากรประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องมีปัญหาทางจิต แม้มีอาชีพการงานดี การศึกษาสูง มีพฤติกรรมในชีวิตปกติ ก็มีโอกาสเกิดจินตนาการทางเพศแบบต้องการควบคุมให้อีกฝ่ายทำตามที่ตนเองต้องการ หรือถึงขั้นมีความสุขเมื่อได้ลองทรมานอีกฝ่ายถึงตาย ต่างจากจินตนาการทางเพศที่เป็นส่วนหนึ่งของความรัก
แต่ละคนที่มีจินตนาการทางเพศเช่นนี้มีวิธีตอบสนองจินตนาการต่างๆ กันไป แต่อาชญากรคือคนที่ขาดการตระหนักรู้เรื่องคุณค่าของชีวิตผู้อื่น ซึ่งเกิดจากครอบครัวและสังคมไม่ได้ปลูกฝังหรือตักเตือน เปรียบเหมือนเด็กที่ไม่เคยได้รับการอบรมให้รักษาความสะอาด ย่อมไม่มีแนวคิดรักความสะอาด (แต่ยังเป็นเด็กปกติ ไม่จัดอยู่ในกลุ่มโรคจิต จึงมีพฤติกรรม อื่นๆ ไม่ต่างจากบุคคลทั่วไป)
การตระหนักรู้แบบนี้ไม่ได้สั่งสอนด้วยการเรียนหรือบอกกล่าวโดยตรง แต่มักถูกกระตุ้นเตือนเข้าไปในพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัวจากครอบครัวหรือสภาพแวดล้อมตั้งแต่เด็ก ปัญหาการถ่ายทอดการตระหนักรู้ มักจะเกิดกับเด็กที่ความสัมพันธ์กับครอบครัวไม่ดี และมีการสื่อสารระหว่างกันน้อย
บุคลิกเช่นนี้รวมกับความคิดว่ามีโอกาสหลุดรอดจากกฎหมาย อาชญากรจึงย่ามใจ
และปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการฆาตกรรมอาจเกิดจากการขัดขืนของเหยื่อได้ด้วยเช่นกัน การร้องโวยวายกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้อาชญากรต้องหยุดเสียง ซึ่งโดยสัญชาตญาณคือการบีบคอ (ทั้งที่ฆาตกรอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะฆ่า) กรณีนี้อาจเกี่ยวพันถึงค่านิยมรักนวลสงวนตัวซึ่งปลูกฝังกันในครอบครัวจีน และอาจทำให้จางอิ๋งอิ่งต้องจบชีวิตลง
แต่การสมยอมก็ไม่ได้การันตีการรอดตายได้เช่นกัน เพราะอาชญากรบางประเภทต้องการการตอบสนองโดยการกักขังทรมานเหยื่อจนตายก็เป็นได้
อาชญากรเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเริ่มก่อเหตุ ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป และหากจับไม่ได้จะก่อเหตุซ้ำซ้อน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่มีบ้านแยกจากกันเป็นหลังๆ การกักขังเหยื่อไว้เป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน แล้วค่อยลงมือฆาตกรรมเกิดขึ้นได้ง่าย
ในสื่อจีนยังพูดถึงประเด็นให้ชวนคิดว่า หากคนขับรถไม่ใช่ชายฝรั่งผิวขาว ไม่ใช่ผู้ช่วยสอน แต่เป็นชายผิวดำ หญิงสาวที่ถูกชักชวนย่อมไม่ขึ้นรถแน่นอน ซึ่งเปิดมุมมองเกี่ยวกับการตีตรารูปลักษณ์ระหว่างอาชญากรกับคนที่ไว้ใจได้
สื่อจีนถกกันตั้งแต่ระบบกฎหมายที่ต่างกัน ขั้นตอนการตัดสินใจภายในจิตใจอาชญากร สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย จนถึงประเด็นเรื่องภาพลักษณ์กับความไว้ใจที่ลวงตาเรา ถูกนำเสนอและถกเถียงในหลากหลายด้าน
มองสื่อจีนแล้วก็ได้แต่คิดว่า แต่ละข่าวสะเทือนขวัญในบ้านเรา ก็น่าจะมีการแตกประเด็นให้หลากหลายและหยิบขึ้นมาพูดคุยในวงกว้าง มากกว่าเน้นอารมณ์ความน่าหวาดกลัว คลั่งแค้น ดราม่า จนต้องลงเอยด้วย "ทำความผิดxxx = ประหาร" กันอย่างเดียว n


