ไฮเอ้อไทร์ หนึ่งในผู้ปลุกปั้น พีเรลลีคืนสังเวียนตลาดยางไทย
การกลับมาของยางรถยนต์ระดับพรีเมียมสัญชาติอิตาลี อย่าง พีเรลลี ถือว่าสร้างความฮือฮาให้กับวงการยางรถยนต์ได้ไม่น้อย เพราะการหายหน้าหายตาไปนานกว่า 1 ปี....
การกลับมาของยางรถยนต์ระดับพรีเมียมสัญชาติอิตาลี อย่าง พีเรลลี ถือว่าสร้างความฮือฮาให้กับวงการยางรถยนต์ได้ไม่น้อย เพราะการหายหน้าหายตาไปนานกว่า 1 ปี....
โดย...โชคชัย สีนิลแท้
การกลับมาของยางรถยนต์ระดับพรีเมียมสัญชาติอิตาลี อย่าง พีเรลลี ถือว่าสร้างความฮือฮาให้กับวงการยางรถยนต์ได้ไม่น้อย เพราะการหายหน้าหายตาไปนานกว่า 1 ปีของพีเรลลี รวมถึงการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายมาแล้วถึง 5 ราย ตลอดการทำตลาดนาน 30 ปี แสดงให้เห็นว่า ยางพีเรลลีไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการทำตลาดในประเทศไทย
การกลับมาในครั้งนี้ของ พีเรลลี เอเชีย พีทีอี (ประเทศไทย) ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ โดยได้แต่งตั้งบริษัทผู้แทนจำหน่ายใหม่พร้อมกัน 3 ราย แยกตามผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย บริษัท ก.เจริญยางยนต์ จำหน่ายกลุ่มยาง UHP (Ultra High Performance) เป็นยางออกแบบพิเศษจับกลุ่มรถลักชัวรี คาร์ ที่เน้นความเร็วสูง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เช่น ซูเปอร์คาร์ทั้งหลายอย่าง ลัมบอร์กินี เฟอร์รารี เมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู ได้แก่ยางรุ่น P ZERO CORSA, P ZERO ROSSO, P ZERO, Run-flats
ขณะที่ บริษัท เซ็นทรัล เอเชียอินเตอร์เนชั่นแนล จะเน้นจำหน่ายยางกลุ่มรถปรับแต่งเครื่องยนต์ (Tuning Segment) เหมาะกับการเปลี่ยนล้อแม็กตามสมรรถนะของรถตั้งแต่ขอบ 16 นิ้ว ถึง 22 นิ้ว พร้อมการออกแบบลายดอกยางพิเศษเพื่อการตอบสนองการขับอย่างรวดเร็ว คือ ยาง P ZERO NERO และบริษัท ไฮเอ้อไทร์ จัดจำหน่ายยางมาตรฐานยอดนิยม กึ่งสปอร์ตทั่วไป ที่เน้นการเกาะถนน ได้แก่ รุ่น P4, P6, P7
จะเห็นได้ว่าการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในปัจจุบันต่างจากในอดีตที่จะเลือกใช้บริษัทตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวรับผิดชอบการจำหน่ายยางทุกประเภท ซึ่งก็ใช่ว่าผู้จัดจำหน่ายรายนั้นจะทำการตลาดได้เก่งในทุกประเภทของยาง แม้จะเป็นยี่ห้อเดียวกันก็ตาม
เมธี กอเจริญเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเอ้อไทร์ หนึ่งในตัวแทนจำหน่าย เล่าว่า เป็นทายาทของ ชูชาติ กอเจริญเกียรติ นายกสมาคมผู้ค้ายางรถยนต์ไทย กรรมการผู้จัดการกลุ่ม ก.เจริญการยาง ผู้จำหน่ายค้าปลีกยางอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่ทำธุรกิจมานานกว่า 30 ปี มียอดขายต่อปีไม่ต่ำกว่าปีละ 1,000 ล้านบาท
การจับมือกับพีเรลลี เพื่อทำตลาดยางในเมืองไทย ไม่ได้กำหนดต้องมีสัญญาการดำเนินกี่ปี แต่หากดำเนินงานร่วมกันไปได้ด้วยดี สัญญาก็จะเป็นการต่อทุกสิ้นปีไปโดยอัตโนมัติ นอกจากบริษัทจะจัดจำหน่ายยางพีเรลลีรุ่นมาตรฐานแล้ว บริษัทยังมีแผนจะนำเข้ายางสำหรับรถอเนกประสงค์ หรือรถ SUV กับยางในกลุ่ม Scorpion ATR, STR, MUD เข้ามาทำตลาดด้วย
“6 เดือนแรกของการเปิดตลาดจะเน้นการรับรู้และแนะนำสินค้าต่อผู้บริโภคให้เป็นที่รู้จัก ปัจจุบันเรามีตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมงานกับ ก.เจริญการยาง 80 ราย และภายในปีนี้จะหาตัวแทนเพิ่มอีก 80 ราย และจะสร้างความมั่นใจต่อตัวแทนทุกรายให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์เรามีคุณภาพ และมั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้จะทำยอดขายได้ 1 หมื่นเส้น หรือมีมูลค่า 30 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีนี้จะนำยางพีเรลลีติด 1 ใน 5 ของตลาดยางเมืองไทย”
ขณะเดียวกัน พีเรลลี ประเทศไทย จะช่วยสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จัก ผ่านการทำกิจกรรมการตลาดระดับบน ซึ่งพีเรลลีได้ดำเนินการอยู่ ไม่ว่าจะเป็นได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตยางสำหรับการแข่งขันฟอร์มูลาวัน ตั้งแต่ปี 2554-2556 รวมไปถึงการเป็นผู้ผลิตยางให้กับการแข่งขันรถยนต์ และรถจักรยานยนต์รายการสำคัญของโลก อาทิ การแข่งขันจีพีทู การแข่งขันจีพีทรี รายการโรเล็กซ์สปอร์ตคาร์ในอเมริกาเหนือ การแข่งขันซูเปอร์ไบค์ชิงแชมป์โลก และการแข่งขันมอเตอร์ครอสชิงแชมป์โลก เป็นต้น จึงทำให้แบรนด์พีเรลลีเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
สำหรับตลาดยางรถยนต์ ประเภทยางทดแทนในเมืองไทย ปัจจุบันตลาดรวมมีประมาณ 6 ล้านเส้น เติบโตจากปีก่อนประมาณ 10% คาดว่าปีนี้น่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 11% โดยในปีหน้าคาดว่าจะมียอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นเส้น จากการขายผ่าน 3 บริษัทตัวแทนจำหน่าย และเชื่อว่าพีเรลลีจะติดท็อป 5 ตลาดยางรถยนต์ในไทยภายใน 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยนั้นมีอัตราการเติบโตสูง แม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบจากปัญหาการเมืองในประเทศ รวมไปถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก


