ชงเปิดประมูลบริหารท่าเรือแหลมฉบังก่อนหมดอายุสัมปทาน
ชงเปิดประมูลท่าเรือแหลมฉบังหมื่นล้าน เอกชนร้องสินค้าล้นท่าเรือ เร่งผุดเฟส 3 รับมืออนาคต
ชงเปิดประมูลท่าเรือแหลมฉบังหมื่นล้าน เอกชนร้องสินค้าล้นท่าเรือ เร่งผุดเฟส 3 รับมืออนาคต
นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) เตรียมจัดทำร่างเงื่อนไขการประมูล(ทีโออาร์) สำหรับดำเนินโครงการเชิญชวนเอกชนเข้ามาลงทุนบริหารท่าเทียบเรือ B2 B3และB4 ตามกรอบเงื่อนไขของกทท.ที่ระบุว่าต้องได้ตัวเอกชนรายใหม่ที่จะเข้ามาบริหารภายใน 1 ปีก่อนหมดอายุสัญญาสัมปทานเดิมในปี 2563 เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริหารท่าเรือในภาพรวม ดังนั้นจึงคาดว่าจะต้องเร่งขั้นตอนดำเนินประมูลและได้ตัวผู้ประกอบการภายในปีต้นปี 62 โดยสัญญาสัมปทานเดิมที่จะหมดอายุนั้นประกอบด้วย สัมปทานท่าเทียบเรือ B2 จะหมดอายุในเดือนมี.ค. 2563 และสัมปทานท่าเทียบเรือ B3และB4 จะหมดอายุในเดือน ธ.ค. 2563 คาดว่ากทท.จะสรุปกรอบเวลาทั้งเรื่องทีโออาร์และช่วงเวลาการประมูลเสนอกลับมาที่กระทรวงคมนาคมภายในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตามการประมูลงานบริหารท่าเทียบเรือทั้งสามแห่งมีโอกาสที่จะต้องเปิดประมูลภายในปีนี้เลย เนื่องจากการต่อสัมปทานท่าเรือดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมามีความเสี่ยงเรื่องผิดเงื่อนไขการขยายสัมปทานขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวคาดว่าจะได้ข้อสรุปในสัปดาห์หน้า หากข้อสรุปออกมาชี้ชัดว่าเอกชนรายเดิมผิดจริงอาจมีคำสั่งให้ยุติกิจการทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบอายุสัมปทานในปี 2563 เพื่อเดินหน้าประมูลเอกชนรายใหม่เข้ามาบริหารจัดการแทนทันที
ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการแหลมฉบังกล่าวว่า สัญญาสัมปทานทั้ง2 สัญญามีมูลค่า รวมกันกว่า1หมื่นล้านบาท เบื้องต้นจะให้สัมปทาน 30 ปีในแต่ละท่าเรือ
นายพิชิตกล่าวอีก ว่าภาคเอกชนนำโดยหอการค้าไทยได้ร้องเรียนเข้ามาทางกระทรวงคมนาคมว่า ปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบังประสบปัญหาสินค้าล้นท่าเรือชายฝั่งเมื่อดูจากตัวเลขปริมาณสินค้าท่าเทียบเรือชายฝั่งปีล่าสุดที่เข้ามาถึง 400,000 TEUต่อปี ปัจจุบันกทท.ได้เร่งดำเนินโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ท่าเรือแหลมฉบัง วงเงิน 1,864 ล้านบาทจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการภายในเดือนพ.ย.นี้ สามารถรองรับสินค้าได้ราว 300,000 TEUต่อปี ควบคู่ไปกับการเปิดให้ผู้ประกอบการท่าเรือชายฝั่งเข้าไปใช้บริการท่าเทียบเรือ A0 ซึ่งมีหน้าท่ายาวถึง 400 เมตรคาดว่าจะเพียงพอต่อปริมาณสินค้าท่าเรือชายฝั่งที่จะเข้ามาตลอดปี โดยในอนาคตคาดว่าท่าเรือแหลมฉบังจะประสบปัญหาสินค้าล้นท่าเรือชายฝั่งเพิ่มขึ้นอีกหลังเอกชนคาดการณ์สินค้าจะสูงถึง 600,000 TEUต่อปี หรือราว 2 เท่าของปริมาณรองรับของท่าเทียบเรือชายฝั่งA จึงได้สั่งการให้กทท.ไปเร่งจัดทำแผนขยายและพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เพื่อรองรับดีมานต์สินค้าในอนาคต
นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังร้องเรียนเรื่องอัตราค่าใช้จ่ายใหม่ในการใช้งานท่าเทียบเรือชายฝั่ง A ซึ่งจะตกราว 1,545 บาทต่อตู้คอนเทนเนอร์สูงกว่าราคาเดิมที่เคยมีต้นทุนอยู่ที่ 800 บาทต่อตู้คอนเทนเนอร์ แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายภาระหน้าท่าและค่าใช้จ่ายด้านบริการของกทท. เนื่องจากบางฝ่ายเกรงว่าราคาที่เพิ่มขึ้นมานั้นอาจตัดโอกาสแข่งขันของผู้ประกอบการจนส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินนโยบายตามเป้าหมายของกระทรวงคมนาคมที่ต้องการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากรถบรรทุกมาใช้การขนส่งทางน้ำและท่าเทียบเรือชายฝั่ง (Shift Mode)
อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)ร่วมกับ กรมเจ้าท่า (จท.)ไปศึกษาความเหมาะสมและความต้องการรวมถึงปริมาณสินค้าที่จะเข้ามาในอนาคตเพื่อนำไปใช้เป็นเกณฑ์กำหนดราคาทีเหมาะสมต่อไปอีกด้วย


