posttoday

ลดค่าครองชีพอย่างไร ไม่ให้เครียด

07 มิถุนายน 2560

โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง

โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง

ความเห็นที่สวนทางกันระหว่างประชาชนกับรัฐบาลในเรื่องของ “เศรษฐกิจดี” หรือ “เศรษฐกิจไม่ดี” กันแน่ ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงกันต่อไป

สำหรับประชาชนเศรษฐกิจดี คือการเปิดกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วมีเงินพอที่จะจ่ายหนี้สิน ซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็น (หรือไม่จำเป็น) มีเงินเพียงพอที่จะเอนเตอร์เทนตัวเองในเรื่องความบันเทิงต่างๆ พอให้ชีวิตรื่นรมย์บ้าง

วันนี้คงจะต้องถามตัวเองว่า เปิดกระเป๋าสตางค์แล้ว มีเงินพอที่จะทำทุกอย่างที่ชีวิตต้องการได้หรือเปล่า

หากไม่มีมากพอที่จะสามารถ “ซื้อ” ความสุขทุกอย่างให้ชีวิตได้ การวางแผนใช้จ่ายเงินเพื่อลดค่าครองชีพ สามารถช่วยคุณได้

เปรียบไปแล้ว ชีวิตคนก็ไม่แตกต่างจากบริษัทนิติบุคคลเท่าไหร่ เพราะจะมี 2 ด้าน คือ “รายรับ” และ “รายจ่าย” เสมอ

รายรับ เป็นเงินได้จากกิจกรรมต่างๆ ที่แบ่งเป็นรายได้หลักและรายได้เสริม

รายได้หลักมาจากเงินเดือน จากการทำมาค้าขายที่ทำเป็นอาชีพหลัก ส่วนรายได้เสริมมาจากการทำงานพิเศษ เงินผลตอบแทนจากการลงทุน ฯลฯ

รายจ่าย เป็นเงินที่จะต้องใช้ออกไป จัดกลุ่มออกมาเป็น 2 ประเภท คือ รายจ่ายหลัก กับรายจ่ายผันแปร

รายจ่ายหลัก เป็นเงินที่จะต้องจ่ายออกไปเป็นประจำ แน่นอน สม่ำเสมอทุกเดือน เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำมันรถ ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายในการดูแลครอบครัว

รายจ่ายผันแปร คือ รายจ่ายไม่ประจำ เปลี่ยนแปลงขึ้นลงไม่เท่ากันในแต่ละเดือน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่ากินเลี้ยงสังสรรค์ ซื้อสินค้าหรือบริการเป็นครั้งคราว ค่าท่องเที่ยว  ฯลฯ

การวางแผนลดค่าครองชีพมีหลักการง่ายๆ คือ “ใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายได้” เท่านั้น จึงจะมีเงินเหลือออม

ดังนั้น สิ่งแรกที่จะต้องทำเมื่อคิดที่จะวางแผน “ชักหน้าให้ถึงหลัง” การทำบัญชีครัวเรือน

การทำบัญชีครัวเรือนมีประโยชน์มาก ในการที่จะรู้พฤติกรรมการใช้จ่ายของเราว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเสมือนฐานข้อมูลเพื่อที่จะนำมาวิเคราะห์และหาวิธีจัดการการใช้เงินของเราให้ถูกที่ถูกทาง

บัญชีครัวเรือน มี 2 ฝั่ง คือ ฝั่งรายรับ และฝั่งรายจ่าย การทำบัญชีครัวเรือนคือ การจดบันทึกเรื่องการเงินของเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายรับหรือรายจ่าย หากตั้งใจทำบัญชีครัวเรือนให้ละเอียด เพียง 1-2 เดือนเท่านั้น เราจะสามารถรู้ว่าในแต่ละเดือนเราเสียเงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นมากน้อยแค่ไหน และหากเราจะขจัดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต เราก็จะสามารถเริ่มต้นแก้ไขอุดรูรั่วของเงินไหลออกได้อย่างถูกจุด

ขั้นตอนต่อมาของแผนลดค่าครองชีพ คือ “การปรับวิธีคิด และเปลี่ยนไลฟ์สไตล์” ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย

การปรับวิธีคิด เป็นด่านแรกที่คุณต้องเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน เพื่อให้อยู่ได้ในภาวะรายได้ต่ำ ค่าครองชีพสูง นั่นคือการรู้จักพอเพียง พอใจในสิ่งที่มีอยู่ มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น หลังจากปรับวิธีคิดแล้ว ก็จะต้องปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกัน

Money Tutor ของธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ไลฟ์สไตล์ของคนวัยทำงานในย่านใจกลางเมืองที่เราเห็นจนคุ้นตา และทำจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เช่น การดื่มกาแฟ นัดเพื่อนช็อปปิ้ง มีปาร์ตี้หลังเลิกงาน เข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง หลายคนทำสิ่งเหล่านี้จนกลายเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่บางคนยึดเป็นมาตรฐานที่มนุษย์เงินเดือนควรมี จนคิดว่าถ้าคนอื่นไม่ทำตามก็อาจจะถูกมองว่าแปลกแยก

ถ้าเรามีกิจวัตรแบบนี้ แสดงว่าเราใช้จ่ายด้วยความเคยชินกันประมาณเท่าไหร่ ลองคำนวณกันดูง่ายๆ เช่น รายจ่ายค่ากาแฟ ถ้าในวันทำงานเราดื่มกาแฟเฉลี่ยวันละ 1 แก้ว แล้วดื่มกาแฟแก้วละ 50 บาท ระยะเวลาทำงาน 1 เดือน (คิดเป็นเลขกลมๆ 20 วันทำการ) จะเป็นเงินที่จ่ายกับค่ากาแฟ 50 x 20 เท่ากับ 1,000 บาท/เดือน คิดเป็น 5% ของรายได้

ในกรณีที่เราเงินเดือน 2 หมื่นบาท แต่ถ้าเงินเดือนเท่ากันแล้วดื่มกาแฟ ราคาแพงขึ้นเป็นแก้วละ 150 บาท จะเป็นเงินที่ใช้ดื่มกาแฟ 3,000 บาท/เดือน คิดเป็น 15% ของรายได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนรายจ่ายที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากค่ากาแฟแล้ว เราก็ยังมีรายจ่ายอื่นๆ อีก เช่น ค่าช็อปปิ้ง อาจจะสัปดาห์ละ 1,000-2,000 บาท ค่าปาร์ตี้สัปดาห์ละประมาณ 1,000 บาท ค่าฟิตเนสเดือนละ 2,500 บาท หรือปีละ 3 หมื่นบาท

การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ควรเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแต่ละคน เพื่อไม่ให้การลดค่าครองชีพกลายเป็นความเครียด และทำให้แผนลดค่าครองชีพล้มเหลวไปเสียก่อน

นอกจากนี้ ก็จะต้องวางแผนการประหยัดเรื่องในบ้าน ลดการใช้ไฟฟ้า และน้ำประปา ซึ่งก็มีวิธีทำได้ไม่กี่อย่าง คือ ไม่เปิดไฟฟ้าทิ้งไว้ อย่าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน เพราะจะกระชากไฟทำให้มิเตอร์ไฟวิ่งเร็ว การรีดผ้าก็ควรจะรวมกันรีดครั้งเดียวทีละมากๆ เป็นต้น

ส่วนการประหยัดน้ำมัน ก็จะต้องวางแผนขับขี่ ศึกษาเส้นทางที่จะไปว่ารถติดหรือไม่ ไม่บรรทุกของหนักในรถ ฯลฯ วิธีนี้พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดค่าน้ำมันได้จริง

รายจ่ายอีกประเภทหนึ่งที่เป็นรายจ่ายผันแปรโดยแท้จริงคือ การช็อปปิ้งโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ในอดีตเราอาจจะต้องเสียเวลาไปเดินในห้างสรรพสินค้า ช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ต่างๆ แต่ขณะนี้นั่งอยู่บ้านเราก็สามารถเสียเงินได้ เพียงแต่คลิกเข้าไปในอินเทอร์เน็ต ก็มีสินค้ามากมายหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลก มาล่อตาล่อใจให้เงินไหลออกจากกระเป๋าเราโดยง่ายดาย

วิธีแก้ไขการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเหล่านี้คือ การคิดก่อนซื้อ วางแผนก่อนว่าจะซื้อเพื่ออะไร จะได้ใช้บ่อยแค่ไหน บางคนที่อาศัยอยู่คอนโดมิเนียม สามารถใช้วิธีซื้อของเข้า 1 ชิ้น ก็ต้องขนของออก 1 ชิ้น เพื่อที่จะไม่ทำให้ห้องชุดสวยๆ กลายเป็นโกดังเก็บของ เป็นต้น

พึงจำไว้ว่าสิ่งของใดแม้จะมีราคาถูกลดราคามาก 70-80% ก็ตาม หากซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ มูลค่า 1 บาทก็นับว่า “แพง”

อีกสิ่งหนึ่งที่สูญเปล่าไปอย่างน่าเสียดายโดยไม่รู้ตัว นั่นคือการซื้ออาหารมาตุนไว้ในตู้เย็น ตอนที่ซื้อก็ซื้อเผื่อว่าจะทำกิน แต่บางคนซื้อเก็บไว้นานจนอาหารหมดอายุหรือเน่าเสีย ต้องเก็บทิ้งไป ซึ่งก็เท่ากับทิ้งเงินไปเท่ามูลค่าของที่ซื้อมา

ส่วนพวกเสพติดเทคโนโลยี ทั้งโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ที่จะต้องซื้อของรุ่นใหม่ มีฟังก์ชั่นหรูหรา พึงจำไว้ว่าหากซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้อะไรนอกจากดูหนังฟังเพลง เล่นโซเชียลมีเดีย โทรเข้าออกและส่งข้อความ ถือว่าเป็นการซื้อของเกินจำเป็นเช่นกัน

ถ้าขนาดกระเป๋าเงินของเราเริ่มมีขนาดเล็กลง การปรับวิธีการใช้จ่ายเงินให้ลดลงเหมาะสมกับขนาดของเงินในกระเป๋า โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง ในช่วงแรกๆ จะอึดอัดบ้าง เพราะเราอาจจะเคยชินกับความสะดวกสบาย แต่สุดท้ายถ้าเราตั้งใจและอดทน เราจะได้ผลลัพธ์ที่น่าภูมิใจกลับมาเป็น “ผู้ที่ใช้เงินเป็น”

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68