"ทองคำ" ยังเป็นพระเอก ฝ่าวิกฤต การลงทุน

โดย...ชีวรัตน์ กิจนภาธนพงศ์

ในปีนี้ความเสี่ยงทางการเมืองโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งการเมืองในยุโรปที่มีการเลือกตั้งในหลายประเทศ ทั้งเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี ที่อาจสั่นคลอนการเมืองยุโรปและเสถียรภาพของกลุ่มยูโรโซน

การเข้ามาบริหารประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ในช่วง 100 วันแรกของการบริหารประเทศนั้น นโยบายต่างประเทศของทรัมป์แสดงจุดยืนชัดเจนว่าพร้อมใช้กำลังทางทหารทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งการให้กองทัพสหรัฐยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กกว่า 50 ลูก ถล่มกองกำลังของรัฐบาลซีเรีย

รวมถึงการสั่งให้กองทัพสหรัฐทิ้งระเบิด MOAB ในอัฟกานิสถานเพื่อโจมตีกลุ่มไอเอส และที่ทั่วโลกจับตามองจนกลัวว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นคงเป็นเหตุการณ์ตึงเครียดที่คาบสมุทรเกาหลี สหรัฐพยายามกดดันเกาหลีเหนือให้หยุดการพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ โดยประธานาธิบดีทรัมป์สั่งให้เคลื่อนกองเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส คาร์ล วินสัน และฝูงเรือรบของสหรัฐมุ่งหน้าไปยังคาบสมุทรเกาหลี สถานการณ์ดังกล่าวนักวิเคราะห์ทองคำคาดว่าทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,300 เหรียญสหรัฐ

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมากระแสการลงทุนทองคำเพิ่มขึ้น ซึ่งความไม่แน่นอนทั้ง

ด้านการเมืองระหว่างประเทศ ความผันผวนค่าเงิน และความผันผวนเศรษฐกิจโลก รวมถึงความกังวลหากเกิดสงครามจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความต้องการ (ดีมานด์) การถือครองทองคำมากขึ้นซึ่งย่อมส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น

แม้ในภาวะเศรษฐกิจดี มีเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ทองคำก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ต่อสู้ภาวะเงินเฟ้อได้ดี โดยในยามที่อัตราเงินเฟ้อสูงราคาทองคำก็จะปรับตัวสูงขึ้น และในยามที่อัตราเงินเฟ้อต่ำราคาทองคำก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน

“ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูง เพราะนักลงทุนเริ่มมีความกังวล หลังจากมีข่าวว่าเกาหลีเหนือได้ขู่ว่าจะโจมตีสหรัฐด้วยระเบิดนิวเคลียร์ จึงทำให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะบานปลาย หรือตัวอย่างในช่วงปี 2012 สหรัฐเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ จะเห็นว่าช่วงนั้นราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นไปแตะ 1,900 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์”ธนรัชต์ กล่าว

อีกสิ่งที่น่าจับตามองปัจจัยที่จะส่งผลต่อราคาทองคำ คืองบประมาณรายจ่ายสหรัฐที่ใกล้เต็มเพดานหนี้แล้ว โดยอยู่ที่ราว 19 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่เพดานหนี้อยู่ที่ 20 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นหากไม่มีการขยายเพดานก็จะทำให้การใช้จ่ายในปีถัดไปเกิดปัญหา เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคของบารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ต้องมีการปิดหน่วยงานภาครัฐเพื่อประหยัดรายจ่าย และประเด็นนี้จะทำให้ราคาทองปรับตัวขึ้น

ธนรัชต์ กล่าวว่า การลงทุนในทองคำช่วยกระจายความเสี่ยงจากพอร์ตการลงทุนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Save Haven)จากที่ราคาทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation)กับสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ โดยเฉพาะหุ้นค่อนข้างต่ำ

อธิบายง่ายๆ คือ ในช่วงที่ตลาดหุ้นลง ราคาทองคำอาจจะขึ้นหรือลงก็ได้ ตลาดหุ้นและราคาทองคำไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กัน

แต่ในปีนี้เราจะเห็นว่าในช่วงที่หุ้นขึ้น ราคาทองคำลง แต่ช่วงหุ้นลง ราคาทองคำขึ้น ในช่วงเกิดภาวะวิกฤตหรือภาวะความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง เป็นช่วงที่นักลงทุนต่างเทขายในสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย  โดยเชื่อว่าทองคำยังมีมูลค่าในตัวเองเสมอไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไรก็ตาม

ที่ชัดเจนมากเป็นช่วงที่เอสแอนด์พีลดอันดับเครดิตสหรัฐครั้งแรกในประวัติศาสตร์จาก AAA เป็น AA+ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2554 โดยให้เหตุผลในการตัดสินใจลดอันดับความน่าเชื่อถือในรัฐบาลสหรัฐว่า แผนการปรับลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐนั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ภาวะหนี้สินของสหรัฐอยู่ในระดับที่มั่นคงได้ ทำให้เกิดภาวะตื่นทองและราคาทองคำเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 1,920 เหรียญสหรัฐ ภายในเวลา 1 เดือน ราคาทองคำเพิ่มขึ้น 250 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 15%

มีวิกฤตเศรษฐกิจอีกหลายครั้งที่ทำให้ทองคำเป็นที่ต้องการของนักลงทุน วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นในปี 2551 ที่มีต้นตอจากปัญหาวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ และทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก ในปี 2551 ทองคำเป็นสินทรัพย์เดียวที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยราคาทอง Spot เพิ่มขึ้น 4% ขณะที่ตลาดหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ปรับลดลงกว่า 40% ราคาทองคำปรับขึ้นแตะ 1,000 เหรียญสหรัฐในเดือน เม.ย. ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% นับตั้งแต่เริ่มเกิดปัญหาวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ที่เริ่มเกิดขึ้นในไตรมาส 3 ปี 2550 โดยได้มีบริษัทจัดอันดับลดเครดิตของ MBS มูลค่า 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐ

วิกฤตหนี้ยุโรปที่เริ่มตั้งแต่ปี 2552 โดยเริ่มจากกรีซ แต่มาเริ่มเกิดวิกฤตรุนแรงในปี 2553-2554 ที่หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศกรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ สเปน ไซปรัส มีหนี้สาธารณะสูงและไม่สามารถใช้หนี้ได้ นำไปสู่ความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ธนาคารกลางยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ราคาทองคำแตะระดับที่ 1,671 เหรียญสหรัฐ ในเดือน พ.ค. 2555 ซึ่งในช่วงการเลือกตั้งของกรีซ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 52% หลังจากที่เริ่มเกิดวิกฤตยูโรโซนนับตั้งแต่สิ้นปี 2552

ในช่วงกลางปีที่แล้วที่มีการลงประชามติของอังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (เบร็กซิต) ซึ่งผลการลงประชามติพลิกล็อกผิดจากโพลสำรวจ โดยเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการนำอังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ในวันที่ 24 มิ.ย. ที่ทราบผลการลงประชามติราคาทองคำแตะระดับที่ 1,357 เหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% จากวันก่อนหน้า และในช่วงเวลาต่อมาราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นแตะสูงสุดที่ 1,375 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของราคาทองคำในปีที่แล้ว

กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก กล่าวไว้เสมอว่า วิกฤตทางการเงินเป็นผลดีต่อทองคำ ซึ่งไม่เพียงเป็นหลุมหลบภัยทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นสวรรค์สำหรับนักลงทุนอีกด้วย นอกจากนี้ หากนโยบายดอกเบี้ยต่ำก็จะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้นอีก เพราะโดยพื้นฐานแล้วเมื่อดอกเบี้ยลดทำให้ค่าเงินบาทนั้นอ่อนลง

สำหรับคนไทยยังถือว่า “ทองคำ” เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับการลงทุนที่คึกคักมากที่สุด ไม่เพียงเป็นสินทรัพย์การลงทุน แต่ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าทางจิตใจได้ด้วย