เสื่อกกบ้านแพง หลากลวดลายคลาสสิก
เสื่อกก จากสินค้าพื้นบ้านของชาว อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ที่ทอใช้ภายในครัวเรือน สู่การรวมตัวในชื่อ กลุ่มสตรีทอเสื่อกกบ้านแพง เพื่อทอขายเชิงพาณิชย์ สร้างรายได้เสริมแก่สมาชิกในชุมชน....
เสื่อกก จากสินค้าพื้นบ้านของชาว อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ที่ทอใช้ภายในครัวเรือน สู่การรวมตัวในชื่อ กลุ่มสตรีทอเสื่อกกบ้านแพง เพื่อทอขายเชิงพาณิชย์ สร้างรายได้เสริมแก่สมาชิกในชุมชน....
โดย...ปรียนิจ กุลตั้งเจริญ
เสื่อกก จากสินค้าพื้นบ้านของชาว อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ที่ทอใช้ภายในครัวเรือน สู่การรวมตัวในชื่อ กลุ่มสตรีทอเสื่อกกบ้านแพง เพื่อทอขายเชิงพาณิชย์ สร้างรายได้เสริมแก่สมาชิกในชุมชน
ธนัช แสนผาบ ฝ่ายขายสินค้า กลุ่มสตรีทอเสื่อกกบ้านแพง หมู่ 11 จ.มหาสารคาม กล่าวว่า การทอเสื่อกกถือเป็นงานประจำของคนในหมู่บ้านอีกงานหนึ่งนอกเหนือจากการทำนา เลี้ยงวัว ทุกบ้านต้องทอเสื่อใช้เอง หรือทำแจกจ่ายให้ญาติพี่น้อง โดยใช้วัสดุในท้องถิ่นที่หาได้ง่าย เพราะเป็นพืชขึ้นเองตามธรรมชาติ นับเป็นวัฒนธรรมของคนในหมู่บ้านที่สืบทอดกันมาช้านาน
คุณสมบัติของเสื่อกก เมื่อปูนอนจะเย็น อายุใช้งานนาน เพราะมีความทนทาน เก็บรักษาง่าย
หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมสินค้า 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ (โอท็อป) สมาชิกในหมู่บ้านจึงมีความคิดริเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มสตรีทอเสื่อกกบ้านแพง ทอเสื่อออกไปขายในพื้นที่นอกหมู่บ้าน สร้างรายได้อีกทางหนึ่งให้แก่คนในหมู่บ้าน โดยเริ่มจากการขายเสื่อไปยังพื้นที่ใกล้เคียง
เสื่อที่ทำขายในช่วงแรกๆ จะมีสีแดง ดำ น้ำเงิน เหมือนเสื่อทั่วไป แต่หลังจากได้เห็นตลาด ได้เข้าร่วมพัฒนาสินค้ากับหน่วยงานจากภาครัฐ ก็เริ่มที่จะพัฒนาสินค้าให้มีความแตกต่าง เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น เนื่องจากสินค้าประเภทเสื่อมี|ผู้ผลิตค่อนข้างมากจากหลายจังหวัด สินค้ามีความเหมือนกันหมดเกือบทุกเจ้า
กลุ่มจึงหยิบเอาเอกลักษณ์ของทางภาคอีสาน คือ ลายมัดหมี่ เข้ามาผสมผสานในการทำลวดลายเสื่อ ย้อมสีกก และเปลี่ยนจากสีดำ แดง น้ำเงิน ให้เป็นโทนสีน้ำตาล เพื่อความคลาสสิก แตกต่างจากเสื่อของที่อื่น ที่โดดเด่นคือ ดูแลรักษาง่าย ไม่สกปรก
ลวดลายในการทอก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคน แต่ละบ้านก็จะทอเสื่อที่มีลวดลายต่างกันเหมือนการทอผ้า ทำให้เสื่อแต่ละผืนมีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนกัน มีความหลากหลาย แต่ยังคงอยู่ภายใต้ความเป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านเดียวกัน
นอกจากนี้ ได้นำเสื่อไปพัฒนาบุฟองน้ำ เพิ่มความหนานุ่ม แต่จะไม่ทำให้หนามาก เพราะนอนเสื่อแล้วจะได้ไม่ปวดหลัง โดยได้รับคำแนะนำมาจากลูกค้า ตลอดจนเพิ่มขนาดการผลิตให้มีหลายขนาด หลายรูปแบบ เช่น ทำเป็นที่รองนั่ง และเบาะนั่งสมาธิ ซึ่งลูกค้านิยมซื้อไปถวายพระ ชุดรองจาน รองแก้ว เป็นต้น
รวมทั้งยังมีการพัฒนาออกแบบถุงใส่สินค้า เป็นถุงผ้าสีน้ำตาล ให้เข้ากับสีเสื่อ จากเดิมที่ใส่ถุงพลาสติกธรรมดาขาย ทำให้สินค้าดูมีมูลค่ามากยิ่งขึ้น
ธนัช กล่าวว่า การทำงานภายในหมู่บ้านมีสมาชิกทั้งหมด 63 คน แบ่งเป็นกลุ่มทอเสื่อ แปรรูปเสื่อ หรือนำเสื่อมาตัดเย็บ บุฟองน้ำ และฝ่ายขาย ทำหน้าที่เดินสายขายสินค้า ออกงานสินค้าตามสถานที่ต่างๆ รับคำสั่งซื้อและสั่งกลับไปยังฝ่ายผลิต เป็นต้น
ราคาที่ขาย ถ้าเป็น เสื่อบุฟองน้ำ ขนาด 90 เซนติเมตร ราคาผืนละ 500 บาท ขนาด 1 เมตร ราคา 650 บาท และขนาด 1.2 เมตร ราคา 750 บาท
เสื่อไม่บุฟองน้ำ ขนาด 90 เซนติเมตร ราคา 180 บาท ขนาด 1 เมตร ราคา 250 บาท และขนาด 1.2 เมตร ราคา 350 บาท
เบาะนั่งสมาธิ หรือ เบาะรองนั่งบุฟองน้ำ ราคา 250 บาท ไม่บุฟองน้ำราคา 150 บาท และชุดรองจาน รองแก้ว ขายในราคา 100 บาท มีที่รองจาน 6 ชิ้น และที่รองแก้ว 6 ชิ้น
ขณะที่ช่องทางการจำหน่ายสินค้าของกลุ่ม ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การออกงานแสดงสินค้า ไปให้บ่อยครั้งแทบทุกเดือน โดยจะไปขายในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ถือเป็นช่องทางหลักในการขยายตลาดและเป็นโอกาสให้ได้พบกับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯ ที่นิยมซื้อสินค้าไปเป็นจำนวนมาก
ลูกค้ายังสามารถโทรศัพท์สั่งซื้อสินค้าได้โดยตรง แต่จะต้องเป็นลักษณะการซื้อส่ง 10 ชิ้นขึ้นไป โดยจะนัดหมายรับสินค้าตามงานแสดงสินค้าต่างๆ ส่วนที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จะรับสินค้าที่ตลาด อ.ต.ก. ร้านสายใยรักแห่งครอบครัว ที่จะมาขายเป็นประจำทุกเดือน
ปัจจุบัน เมื่อสินค้าเริ่มมีคำสั่งซื้อมาก ในหมู่บ้านจึงต้องเริ่มปลูกกกตามที่นา ท้องร่อง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ หรือถ้ายังไม่พอจะสั่งซื้อกกจากหมู่บ้านอื่นเข้ามา ขณะนี้ได้เปิดรับซื้อเสื่อกกทอโรงงานเข้ามาเสริม เพราะมีลวดลายการทอต่างจากการทอมือ หมู่บ้านจะนำมาแปรรูปในแบบของกลุ่มเพื่อให้สินค้ามีความหลากหลาย แล้วแต่ลูกค้าจะชื่นชอบ โดยรวมแล้วจะสามารถผลิตได้วันละ 10 ผืน
“คนในหมู่บ้านมองว่าการทอเสื่อเป็นอาชีพเสริม สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัว และทำงานอยู่กับบ้านยามว่าง เมื่อทำนา เลี้ยงวัว เสร็จก็กลับมานั่งทอเสื่อที่บ้าน หมดหน้านาก็มาทอเสื่อขาย คนในหมู่บ้านก็ไม่ต้องเข้ามาหางานทำในเมือง เศรษฐกิจในหมู่บ้านก็เติบโต” ธนัช กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากการเริ่มต้นทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง ทำให้เริ่มประสบปัญหาด้านการตลาด เพราะความสามารถในการนำสินค้าไปเสนอขายลูกค้ามีน้อย ให้ไปขายเอง หาตลาดเองยังทำไม่เก่ง จึงต้องการให้รัฐบาลเข้ามาส่งเสริมในจุดนี้บ้าง เนื่องจากเริ่มมีลูกค้าต่างประเทศเข้ามาซื้อสินค้า การที่ให้ผลิตแล้วส่งให้คนอื่นไปส่งออกสามารถทำได้ แต่ให้ไปติดต่อลูกค้า หาลูกค้าต่างประเทศ ดำเนินการด้านเอกสารยังทำไม่ได้
ธนัช ย้ำด้วยว่า ต้องการให้มีการสนับสนุนด้านการพัฒนาสินค้า การออกแบบ ให้มาแนะนำว่าตลาดต้องการอะไร ต้องผลิตแบบไหนถึงจะถูกใจลูกค้า เพราะสินค้าที่ทำอยู่ในปัจจุบันก็ทำมานานแล้ว ต้องการที่จะพัฒนามากยิ่งขึ้น แต่บางครั้งก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ส่วนใหญ่ก็ได้แนวคิดมาจากลูกค้า ซึ่งกลุ่มพร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง
สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจ ต้องการพัฒนารูปแบบสินค้าให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น นำเสื่อมาแปรรูปเป็นกระเป๋า กล่องทิชชู หรือของตกแต่งภายในบ้าน ก่อนหน้านี้เคยทดลองทำมาบ้างแล้วแต่ยังต้องพัฒนาต่อไป
“ทุกวันนี้ ในฐานะคนทำเสื่อ เห็นเสื่อถูกพัฒนาจากเสื่อปูนอนธรรมดา มาเป็นเสื่อที่มีคุณค่า มีราคามากขึ้น เราทุกคนก็ภูมิใจแล้ว” ธนัช กล่าว
สนใจสินค้าสอบถามได้ที่โทร. 08-1545-7303


