คดีซินแสโชกุนหลอกลวงประชาชน (ทัวร์ญี่ปุ่น)
โดย...เดชา กิตติวิทยานันท์คดีฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ เกิดจากความโลภของประชาชนที่อยากจะได้ผลตอบแทนในการทำงานหรือการลงทุนที่มากกว่าปกติ โดยขาดเหตุผลรองรับเป็นหลัก ของดี ของฟรี ไม่มีในโลก มีแต่ของเน่าเท่านั้น เหยื่อของคดีฉ้อโกงประชาชนส่วนใหญ่มาจากความโลภ ไม่ว่าเหยื่อจะเป็นผู้มีการศึกษาสูงหรือการศึกษาน้อย ทนายคลายทุกข์ขอนำเสนอเรื่องการฉ้อโกงประชาชน ดังนี้1.คดีดังกล่าวเป็นอุทาหรณ์สำหรับพี่น้องประชาชนที่ใช้บริการทัวร์ราคาถูก เพราะของดีราคาถูกไม่มี มีแต่เรื่องหลอกลวงทั้งนั้น ดังนั้นพี่น้องประชาชนจึงต้องระมัดระวัง2.เมื่อถูกหลอกลวงประชาชนก็ต้องรีบแจ้งความและรีบกระจายข่าวทางโซเชียลมีเดียเพื่อให้เป็นข่าวใหญ่ คดีนี้ถือว่าทำถูกต้องแล้ว3.ถ้าเป็นข่าวใหญ่ตำรวจจะเร่งดำเนินคดีทันที แต่ถ้าไม่เป็นข่าว คดีก็อาจจะไม่มีความคืบหน้า4.เมื่อถูกจับก็จะถูกดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ.มาตรา 343 และข้อหาดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายฟอกเงินอีกส่วนหนึ่ง5.การหลอกลวงประชาชน แนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ถือว่าเป็นการกระทำต่างกรรมต้องลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงลงโทษ เท่ากับจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวง อ้างอิงคำพ
โดย...เดชา กิตติวิทยานันท์
คดีฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ เกิดจากความโลภของประชาชนที่อยากจะได้ผลตอบแทนในการทำงานหรือการลงทุนที่มากกว่าปกติ โดยขาดเหตุผลรองรับเป็นหลัก ของดี ของฟรี ไม่มีในโลก มีแต่ของเน่าเท่านั้น เหยื่อของคดีฉ้อโกงประชาชนส่วนใหญ่มาจากความโลภ ไม่ว่าเหยื่อจะเป็นผู้มีการศึกษาสูงหรือการศึกษาน้อย ทนายคลายทุกข์ขอนำเสนอเรื่องการฉ้อโกงประชาชน ดังนี้
1.คดีดังกล่าวเป็นอุทาหรณ์สำหรับพี่น้องประชาชนที่ใช้บริการทัวร์ราคาถูก เพราะของดีราคาถูกไม่มี มีแต่เรื่องหลอกลวงทั้งนั้น ดังนั้นพี่น้องประชาชนจึงต้องระมัดระวัง
2.เมื่อถูกหลอกลวงประชาชนก็ต้องรีบแจ้งความและรีบกระจายข่าวทางโซเชียลมีเดียเพื่อให้เป็นข่าวใหญ่ คดีนี้ถือว่าทำถูกต้องแล้ว
3.ถ้าเป็นข่าวใหญ่ตำรวจจะเร่งดำเนินคดีทันที แต่ถ้าไม่เป็นข่าว คดีก็อาจจะไม่มีความคืบหน้า
4.เมื่อถูกจับก็จะถูกดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ.มาตรา 343 และข้อหาดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายฟอกเงินอีกส่วนหนึ่ง
5.การหลอกลวงประชาชน แนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ถือว่าเป็นการกระทำต่างกรรมต้องลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงลงโทษ เท่ากับจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวง อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 870/2549
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 343 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 341 ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวในมาตรา 342 อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
“ความผิดมูลฐาน” หมายความว่า
(3) ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
มาตรา 5 ผู้ใด
(3) ได้มาครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ในขณะที่ได้มาครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฟอกเงิน
มาตรา 49 ภายใต้บังคับมาตรา 48 วรรคหนึ่ง ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าทรัพย์สินใดเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ให้เลขาธิการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณาเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็ว
ในกรณีตามวรรคหนึ่งถ้าปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน ให้เลขาธิการขอให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินด้วยในคราวเดียวกันและเมื่อศาลมีคำสั่งให้คืนทรัพย์สินหรือชดใช้ให้ผู้เสียหายตามวรรคนี้แล้ว ให้สำนักงานดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งศาลโดยเร็ว
มาตรา 60 ผู้ใดกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 61 นิติบุคคลใดกระทำความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 7 มาตรา 8 หรือมาตรา 9 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท
ในกรณีที่การกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งของนิติบุคคลเกิดจากการสั่งการหรือการกระทำของกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวมีหน้าที่ต้องสั่งการหรือกระทำการและละเว้นไม่สั่งการหรือไม่กระทำการจนเป็นเหตุให้นิติบุคคลนั้นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
คำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 870/2549 ฉ้อโกงประชาชนเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ จึงเป็นความผิดหลายกรรมตามจำนวนผู้เสียหาย
ฎีกาคดีฟอกเงิน ท่านผู้อ่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลฎีกาคดีฟอกเงินได้ที่เว็บไซต์ของศาลฎีกา เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6602/2550, คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2770/2552, คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7290/2554, คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5289/2555


