จับตาความหวังสร้าง "สมองจักรกล" สู่การยกระดับมนุษย์ทัดเทียมเอไอ
ในอนาคตการใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์อาจก้าวไปไกลกว่าการนำไปใช้งานทางการแพทย์
โดย...นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวที่สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงไอทีและวิทยาศาสตร์คงหนีไม่พ้นการประกาศตั้งบริษัท Neuralink ของอีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง เทสลา ที่พัฒนานวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับ และสเปซเอ็กซ์ บริษัทบุกเบิกด้านการสำรวจอวกาศ โดยจุดมุ่งหมายของ Neuralink คือการคิดค้นการเชื่อมสมองมนุษย์เข้ากับปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) ได้โดยตรง เพื่อยกระดับการทำงานของสมองมนุษย์ให้ทัดเทียมกับเอไอ ซึ่งนับวันมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นทุกที
มัสก์เคยส่งสัญญาณเรื่องบริษัท Neuralink มาตั้งแต่เมื่อ 6 เดือนก่อนหน้านี้ระหว่างการพูดคุยที่งาน World Government Summit ในนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาโดยในงานดังกล่าวนั้น มัสก์กล่าวว่า มนุษย์อาจจำเป็นต้องกลายเป็นไซบอร์ก ที่เกิดขึ้น
จากการผสมผสานความชาญฉลาดทางชีววิทยาเข้ากับเอไอ หากยังต้องการมีความสามารถเทียบเท่ากับเอไอในอนาคต
วอลสตรีท เจอร์นัล รายงานว่าเป้าหมายของ Neuralink คือพัฒนา Neural Lace ส่วนเชื่อมเส้นประสาทเพื่อช่วยในการฝังขั้วไฟฟ้าเข้าไปในสมอง ทำให้มนุษย์สามารถอัพโหลดความคิดต่างๆ เข้าไปในคอมพิวเตอร์ และสามารถดาวน์โหลดข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เข้าสู่สมองได้
บิซิเนส อินไซเดอร์ รายงานว่า Neuralink จดทะเบียนเป็นบริษัทวิจัยทางการแพทย์ในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของบริษัทน่าจะเป็นสมองเทียม ที่ใช้รักษาความผิดปกติต่างๆ เช่น โรคลมบ้าหมู โรคพาร์กินสัน หรือโรคซึมเศร้า โดยมัสก์ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารวานิตี้แฟร์ ว่า การผสมผสานเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าไปในสมองบางส่วนนั้น คาดว่าจะมีความก้าวหน้าชัดเจนขึ้นในอีกราว 4-5 ปีข้างหน้า
แม้ความพยายามเชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับเอไออย่างสมบูรณ์แบบนั้นมีแนวโน้มต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่ที่ผ่านมาทีมนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งมีความก้าวหน้าในการทดลองใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อการสั่งงานของสมองเข้ากับอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประสบความสำเร็จในการทดลองใช้เทคโนโลยี Brain-Computer Interface หรือ BCI เพื่อช่วยให้ชายอายุ 26 ปี ซึ่งเป็นอัมพาตช่วงล่าง สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง โดยสวมใส่หมวกครอบบนศีรษะ ที่เพิ่มคลื่นกระแสไฟฟ้าจากสมองแล้วส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยสั่งการและควบคุมการเดิน
ทั้งนี้ เทคโนโลยี BCI นั้นช่วยให้สมองสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ได้ คล้ายคลึงกับในภาพยนตร์ไซ-ไฟที่มนุษย์สามารถสั่งการหรือติดต่อกับเครื่องจักร
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการฝังเซ็นเซอร์เข้าไปในแขนของผู้ป่วยวัย 56 ปี ที่เส้นประสาทไขสันหลังได้รับความเสียหาย และไม่สามารถใช้งานแขนขวาได้ โดยการทดลองฝังเซ็นเซอร์ดังกล่าวเป็นโครงการทดลองร่วมกันของมหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์นรีเสิร์ฟ และศูนย์วิจัยการรักษาด้วยการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า สังกัดมหาวิทยาลัยคลีฟแลนด์ในสหรัฐ ซึ่งทีมวิจัยได้ฝังชิป 2 ตัวเข้าไปในสมองของชายผู้นี้ เพื่อตรวจจับสัญญาณคลื่นไฟฟ้าในสมอง แล้วส่งไปยังคอมพิวเตอร์เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อแขนขวาทำงาน แม้ขณะนี้การฝังเซ็นเซอร์ดังกล่าวยังไม่สามารถช่วยชายวัย 56 ปีกลับมาใช้แขนขวาได้อย่างคล่องแคล่วดังเดิม แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาสามารถรับประทานอาหารได้แล้ว
ไม่แน่ว่าในอนาคต การใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์อาจก้าวไปไกลกว่าการนำไปใช้งานทางการแพทย์ก็เป็นได้


