ห้าว-หด-เหี่ยว 3 วัยในช่วงปลายชีวิต
แม้ว่าในพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 จะกำหนดให้... บุคคลที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์และมีสัญชาติไทย เป็น “ผู้สูงอายุ” แต่ถ้าถาม “นักชราวิทยา” ตามข้อมูลในรายงาน สถานการณ์ผู้สูงอายุ โดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะแบ่งผู้สูงอายุออกเป็น 4 ช่วง1.ช่วงไม่ค่อยแก่ (The young-old) อายุประมาณ 60-69 ปี ยังเป็นช่วงที่แข็งแรงดี แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเกิดขึ้นบ้าง เช่น การเกษียณอายุ2.ช่วงแก่ปานกลาง (The middle-aged old) อายุประมาณตั้งแต่ 70-79 ปี ส่วนใหญ่จะเริ่มเจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัว ทำให้เข้าร่วมกิจกรรมของสังคมน้อยลง3.ช่วงแก่จริง (The old-old) อายุประมาณ80-90 ปี สุขภาพแย่ลง เริ่มต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากขึ้น 4.ช่วงแก่จริงๆ (The very old-old) อายุประมาณ 90 ปีขึ้นไป มักมีปัญหาทางสุขภาพหรือถ้าถาม ธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทิสโก้ จะแบ่งกว้างๆ ออกเป็น 2 ช่วงช่วงแรก คือ ช่วงอายุ 60-70 ปี ซึ่งเรียกว่า Active Retirement เพราะยังมีกำลังวังชาสามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้ อาจจะเป็นการทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือไปท่องเที่ยวขณะที่ช่วงที่ 2 คือ อาย
แม้ว่าในพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 จะกำหนดให้... บุคคลที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์และมีสัญชาติไทย เป็น “ผู้สูงอายุ” แต่ถ้าถาม “นักชราวิทยา” ตามข้อมูลในรายงาน สถานการณ์ผู้สูงอายุ โดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะแบ่งผู้สูงอายุออกเป็น 4 ช่วง
1.ช่วงไม่ค่อยแก่ (The young-old) อายุประมาณ 60-69 ปี ยังเป็นช่วงที่แข็งแรงดี แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเกิดขึ้นบ้าง เช่น การเกษียณอายุ
2.ช่วงแก่ปานกลาง (The middle-aged old) อายุประมาณตั้งแต่ 70-79 ปี ส่วนใหญ่จะเริ่มเจ็บป่วย หรือมีโรคประจำตัว ทำให้เข้าร่วมกิจกรรมของสังคมน้อยลง
3.ช่วงแก่จริง (The old-old) อายุประมาณ80-90 ปี สุขภาพแย่ลง เริ่มต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากขึ้น
4.ช่วงแก่จริงๆ (The very old-old) อายุประมาณ 90 ปีขึ้นไป มักมีปัญหาทางสุขภาพ
หรือถ้าถาม ธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทิสโก้ จะแบ่งกว้างๆ ออกเป็น 2 ช่วง
ช่วงแรก คือ ช่วงอายุ 60-70 ปี ซึ่งเรียกว่า Active Retirement เพราะยังมีกำลังวังชาสามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้ อาจจะเป็นการทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือไปท่องเที่ยว
ขณะที่ช่วงที่ 2 คือ อายุมากกว่า 80 ปี ที่นับเป็นบั้นปลายชีวิตอย่างแท้จริง
แต่ถ้าเป็น วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงวัย พร้อมกับตั้งชื่อให้กับแต่ละช่วงวัยไว้ว่า วัยห้าว วัยหด และวัยเหี่ยว
วัยห้าว
คนในวัยเกษียณช่วงต้น อายุ 60-69 ปี ส่วนใหญ่แข็งแรง พลังงานเต็มเปี่ยม ทำอะไรๆ ได้เหมือนกับช่วงก่อนเกษียณ และหลายคนในวัยนี้ยังไม่รู้จักคำว่าเกษียณ สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง ทำให้ยังมีรายได้และรู้สึกว่าตนเองยังมีค่าต่อสังคม
นอกจากนี้ ยังเป็นวัยที่ “ฮึกเหิม” อยากทำสิ่งใหม่ๆ ที่ใฝ่ฝันไว้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน ที่หลายคนอยากเริ่มต้นอาชีพใหม่ นำเงินที่เก็บออมไว้ออกไปลงทุนทำธุรกิจ ทำไร่ ทำสวน
และเพราะความห้าว ผสมกับความฮึกเหิมนี้เอง ที่ทำให้หลายคนต้องสูญเงินที่เก็บออมจำนวนมาก เพราะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ โดยไม่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ ไม่ได้ประเมินความสามารถและความเหมาะสม
วัยหด
วัยนี้ถือเป็น “วัยเกษียณจริง” อายุ 70-79 ปี เพราะ “ความสามารถในการใช้ชีวิตจะลดลง ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ลูกจ้างเกษียณ อาชีพอิสระ หรือเจ้าของกิจการ ต่างจะไม่มีความแตกต่างด้านการใช้ชีวิตในวัยหดสักเท่าไร”
ในขณะที่ความสามารถในการหารายได้ลดลงจนเกือบหมด แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีมากขึ้น เพราะโรคภัยจะแสดงอาการออกมาชัดเจนขึ้น จึงควรลดกิจกรรมต่างๆ ลง และให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและสุขภาพใจมากขึ้น
อย่ามั่นใจในศักยภาพของตัวเองจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาก่อนวัยอันควร
วัยเหี่ยว
ในวัย 80 ปีขึ้นไป เข้าสู่วัยชรา และวัยพักผ่อนอย่างแท้จริง โดยในช่วงที่ชราภาพมากๆ จำเป็นต้องมีคนคอยดูแล เพราะปัญหาสุขภาพจะมีมากขึ้น ความจำแย่ลง
ขณะที่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของสุขภาพ จึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมทางการเงินไว้สำหรับการใช้จ่ายด้านสุขภาพเป็นหลัก
เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่เห็นว่าอายุ 60 แล้วจะเหมารวมว่าเป็นผู้สูงอายุเหมือนๆ กันหมด ขนาดการกำหนดอัตราเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยังแบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่
อายุ 60-69 ปี ได้รับ 600 บาท/เดือน
อายุ 70-79 ปี ได้รับ 700 บาท/เดือน
อายุ 80-89 ปี ได้รับ 800 บาท/เดือน
อายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับ 1,000 บาท/เดือน
(เมื่อเร็วๆ นี้มีรายงานข่าวว่า กระทรวงการคลังจะมีการปรับเปลี่ยนระบบการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยที่ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง มีแนวคิดที่จะจ่ายเงินเพิ่มให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย และเปิดทางให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้เพียงพอหรือมีฐานะดีอยู่แล้วให้สละสิทธิ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น)
ขณะที่โดยเฉลี่ยแล้ว คนไทยก็มีอายุยืนขึ้นโดยผู้ชายอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ปี ขณะที่ผู้หญิงอายุเฉลี่ยสูงถึง 80 ปี
และจากสถิติประชากรของประเทศไทย พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วเด็กแรกเกิดมีโอกาสอยู่รอดไปจนถึงอายุ 71-78 ปี แต่ถ้ามีชีวิตรอดมาจนถึงอายุ 60 ปีได้แล้วล่ะก็ จะมีโอกาสมีชีวิตต่อไปจนถึงอายุ 81-83 ปี
เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้เราประคับประคองชีวิตมาได้จนถึงวัยหลังเกษียณ ก็มองตัวเลขอายุ 80 ปีไว้เป็นเป้าหมายได้เลย จะได้เตรียมพร้อมรับมือกับชีวิตในวัย 70-80 ปีไว้ ไม่ประเมินอายุตัวเองต่ำเกินไป เพราะปัญหาหนึ่งของผู้สูงอายุ คือ มักคิดว่าจะตายเร็วกว่าความเป็นจริง
เพราะหากไม่เตรียมพร้อม ใน “วัยห้าว” ที่ยังมีเรี่ยวแรงหารายได้อาจจะยังไม่มีความทุกข์ แต่ถ้าเข้าสู่วัยหด หรือวัยเหี่ยว เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่มีทุกข์แบบเดียวกับผู้สูงอายุทั่วๆ ไป
การสำรวจความคิดเห็นผู้สูงอายุ เมื่อปี 2559 โดยนิด้าโพล และศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) พบว่า มีอยู่ 7 เรื่องใหญ่ๆ ที่ทำให้ผู้สูงอายุไทยเป็นทุกข์ นั่นคือ
1.การไม่มีเงินใช้/ไม่มีเงินออม/มีแต่ไม่พอใช้
2.อยากทำงาน แต่ไม่มีงานทำ ทำให้ขาดรายได้มาเลี้ยงตนเอง
3.มีภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายให้แก่เจ้าหนี้
4.ไม่มีเพื่อนฝูง
5.สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง/มีโรคประจำตัว/ต้องไปหาหมอ
6.ไม่มีลูกหลาน อยู่คนเดียว/มีลูกหลานแต่ลูกหลานไม่ให้ความสนใจ/ใส่ใจดูแล
7.จิตใจไม่เบิกบาน ไม่สดชื่นแจ่มใส หม่นหมอง ไม่มีคุณค่า
จะเห็นได้เลยว่า 3 เรื่องที่ใหญ่ที่สุด คือ เรื่องเงิน ไม่ว่าจะเป็น ไม่มีเงิน ไม่มีงาน แต่มีหนี้สิน


