ธุรกิจทีวีดาวเทียม สู่ยุคทะเลสีเลือดแข่งเดือด
ธุรกิจทีวีดาวเทียม แม้จะเกิดขึ้นมาได้ระยะหนึ่ง แต่มาบูมจริงจังช่วง 12 ปีนี้ โดยเฉพาะการรุกตลาดอย่างเต็มกำลัง ของผู้ผลิตรายการรายใหญ่ ทำให้ธุรกิจที่เป็นโอกาสใหม่ หรือศัพท์ทางการตลาดจะเรียกว่า น่านน้ำสีฟ้า หรือ บลูโอเชียน วันนี้ กำลังก้าวเข้าสู่ยุคทะเลสีเลือด หรือ เรด โอเชียน เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ที่แข่งขันกันดุเดือดขึ้นทุกที
อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น มองแนวโน้มดังกล่าวว่าอัตราเพิ่มขึ้นของจำนวนช่องรายการผ่านทีวีดาวเทียมมากขึ้นทุกที ปัจจุบันมีผู้ผลิตรายการไทยที่ผลิตช่องออกอากาศผ่านระบบทีวีดาวเทียม 7080 ช่อง ขณะที่การปิดตัวของบางช่องทีวีดาวเทียมก็มีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
สำหรับธุรกิจทีวีดาวเทียม แม้จะดูน่าสนใจ เพราะการขยายตัวของจานดาวเทียมเพิ่มสูงมาก โดยเฉพาะปีนี้ที่อัตราการขยายตัวของจานดาวเทียมอยู่ที่ 3040% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เฉพาะจานดาวเทียมซี แบนด์ หรือจานดำของพีเอสไอ ถูกติดตั้งไม่ต่ำกว่า 1 แสนจานต่อเดือน ถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีบ้านที่ติดตั้งจานดาวเทียมราว 6 ล้านครัวเรือน
ส่วนหนึ่งของการขยายตัวของจานดาวเทียมมาจากจำนวนช่องรายการที่มากขึ้นณ ปัจจุบัน จานดาวเทียมซีแบนด์ รับชมได้มากกว่า 100 ช่องรายการ และที่สำคัญเป็นการรับชมฟรี ไม่เสียค่าบริการรายเดือน เหมือนกับระบบโทรทัศน์บอกรับสมาชิกเคเบิลทีวี ของทรูวิชั่นส์ จากข้อมูลของเอจีบี นีลเส็น ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ การรับชมรายการผ่านจานดาวเทียมเติบโต 39%
แม้จำนวนช่องรายการจะมากขึ้น แต่การใช้งบโฆษณาผ่านสื่อนี้ ยังถือว่าไม่มากนัก คิดเป็นสัดส่วน 12% ของงบโฆษณาโทรทัศน์มูลค่าปีละ 6 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราค่าโฆษณาผ่านทีวีดาวเทียม ยังต่ำมากเมื่อเทียบกับฟรีทีวี ที่สำคัญมีคู่แข่งที่ต้องแย่งชิงเม็ดเงินกันมากเกือบ 100 ช่อง
“
ต่อไปนี้ คนที่จะอยู่ได้ ต้องคุณภาพเท่านั้น ช่องที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ไม่สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ คนก็ไม่ดู เมื่อคนไม่ดูก็ไม่มีรายได้ โฆษณาไม่เข้า ขณะที่ต้องลงทุนเรื่องคอนเทนต์ไม่น้อยกว่าฟรีทีวี ถือว่าหนัก” อดิศักดิ์ กล่าวผู้ผลิตรายการรายใหญ่ จึงต้องเดินหน้าขยายฐานผู้ชมให้มากที่สุด โดย 4 ผู้ผลิตรายการ ได้แก่ เนชั่น แชนแนล กันตนาจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และโรส มีเดีย จึงต้องลงขันจ้างพีเอสไอ เข้าไปติดตั้งจานรับชมรายการผ่านดาวเทียมให้กับโครงการคอนโดมิเนียมรายใหญ่ 4 ราย ได้แก่ พฤกษา แอลพีเอ็น ศุภาลัย และแสนสิริ รวม 100 อาคาร กว่า 3 หมื่นยูนิต เข้าถึงคนกรุงเทพฯ อย่างน้อย 1.2 แสนคน
ขณะที่ผู้ผลิตรายการอย่างไลฟ์ ทีวี ที่เข้าสู่ตลาดนี้มานานก่อนรายอื่น ต้องปรับกลยุทธ์เช่นเดียวกัน จากเดิมให้บริการผ่านระบบเคเบิลทีวีเป็นหลัก ก็หันมาหาระบบจานดาวเทียมแบบซีแบนด์ แต่ยังใช้รูปแบบธุรกิจบอกรับเป็นสมาชิก คือต้องเสียเงินเพื่อรับชม เช่น การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล ซึ่งมีลิขสิทธิ์ที่ทำให้ไลฟ์ ทีวี ขยายตัวได้ทั้งสองตลาด
อย่างไรก็ตาม แม้บางคนจะมีมุมมองว่าทีวีดาวเทียมเข้าสู่ยุคแข่งขันรุนแรง แต่สำหรับ ศศิกร ฉันท์เศรษฐ์ ประธานบริหารสายธุรกิจโทรทัศน์ กล่าวว่า ในฐานะผู้ผลิตคอนเทนต์ ต้องมองช่องทางที่หลากหลายไม่ใช่แค่ทีวีดาวเทียมเท่านั้นที่จะเป็นโอกาสของผู้ผลิตรายการ ยังมีช่องทางอื่นที่มีศักยภาพเช่นเดียวกัน ทั้งอินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่จะถูกพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคต
เช่นเดียวกับ จิรัฐ บวรวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิกไนท์ เอเชียอดีตผู้บริหารโรส มีเดีย ผู้บุกเบิกช่องการ์ตูนทางทีวีดาวเทียม มองว่า ธุรกิจทีวีดาวเทียมยังเป็นบลู โอเชียน แต่ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตรายการจะเลือกผลิตคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ชมได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงคุณภาพ ถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่มีคนมานั่งคุยกัน 2 คน ถ้าทำรายการแบบนี้ก็นับถอยหลังได้
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจทีวีในเมืองไทย ที่เข้าสู่การแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในปีหน้าจะมีจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งของระบบโทรทัศน์ไทย หลังจากจัดตั้งองค์กรอิสระ
“กสทช.” น่าจะสำเร็จ ถึงตอนนั้นจะเป็นบลู หรือ เรด โอเชียน ต้องรอดูกัน

