'ออสการ์ โลเปซ' เจ้าพ่อวงการสื่อปินอยส์
ในปี 1972 หลังจากที่ตระกูลโลเปซต้องยกธงขาวจากกิจการบริษัทไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ในฟิลิปปินส์
โดย...ทศพล หงษ์ทอง
ในปี 1972 หลังจากที่ตระกูลโลเปซต้องยกธงขาวจากกิจการบริษัทไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ในฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ขั้วอำนาจการเมืองใหม่ต้องกวาดล้างกลุ่มชนชั้นนำรุ่นเก่าเพื่อปูทางให้กับระบบการปกครองยุคใหม่ จนสร้างความเสียหายมากกว่า 2.45 หมื่นล้านบาท ให้กับกิจการไฟฟ้าของครอบครัว
ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ออสการ์ โลเปซ ได้ก้าวขึ้นเป็นแกนหลักในการบริหารธุรกิจยักษ์ใหญ่ของตระกูลที่มีหลากหลายด้าน ทั้งธุรกิจทางอสังหาริมทรัพย์ไปจนถึงธุรกิจด้านพลังงานและไฟแนนซ์ รวมทั้งสิ้น 143 องค์กร พร้อมด้วยพนักงานอีกกว่า 2.2 หมื่นชีวิต ที่อยู่ใต้การดูแลของกลุ่มบริษัทในเครือ รวมถึงการเข้าเทกโอเวอร์ธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ชื่อของเขามีอิทธิพลต่อชาวฟิลิปปินส์ทั้งประเทศ
สำนักข่าว ABS-CBN เป็นสื่อกระแสหลักที่มีขนาดใหญ่สุดในประเทศฟิลิปปินส์ จากผลประกอบการที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องร่วมกับเงินทุนในมือที่มีอยู่มากกว่า 7 หมื่นล้านบาท ครองสัดส่วนเรตติ้งผู้ชมกว่า 70% ของจำนวนประชากร หรือมากกว่า 70 ล้านคน
นอกจากนี้ โลเปซยังควบหน้าที่ประธานบริษัทด้านโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานอย่าง First Philippine Holdings ซึ่งมีเงินทุนกว่า 8.82 หมื่นล้านบาท จนในที่สุดถูกยกให้เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีฟิลิปปินส์ที่ครองตำแหน่งได้อย่างยาวนาน ด้วยการใช้โอกาสด้านการเงินที่มีผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ จนนำไปสู่ธุรกิจแขนงใหม่ของตระกูลที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ปัจจุบัน ABS-CBN ถือครองช่องทีวีหลักในประเทศจำนวน 2 ช่อง นั่นก็คือ ช่อง ABS-CBN และช่อง S+A ร่วมกับการให้บริการช่องทีวีสากลอีก 6 ช่อง (ABS-CBN News Channel, S+A, Cinema One, Lifestyle, Myx TV, The Filipino Channel) ทั้งยังมีธุรกิจด้านวิทยุกระจายเสียงในระดับภูมิภาคอีก 4 คลื่น (ช่อง Radyo Patrol ช่อง My Only Radio For Life ช่อง MOR 101.9 และช่อง DZMM Radyo Patrol 630)
ขณะเดียวกัน ออสการ์ยังได้แตกแขนงธุรกิจสื่อสารมวลชนที่มีอยู่ในมือออกไปให้สอดรับกับความต้องการบริโภคสื่อใหม่ในภูมิภาคอาเซียนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจโทรคมนาคม (ABS-CBN Mobile and Sky) สื่อสิ่งพิมพ์ เคเบิลทีวี ช่องโทรทัศน์ดิจิทัลและสถานีข่าวออนไลน์ รวมถึงสื่อสาระบันเทิงด้านกีฬา ภาพยนตร์ ดนตรีและเยาวชน เพื่อตอบสนองตลาดนิชของอาเซียน (ABS-CBN Cable Channels, ABS-CBN Sports, ABS-CBN Digital Media, Star Music, Star Cinema และ KidZania Manila เป็นต้น)
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อมวลชนคือ อำนาจในทุกทวีปและบริบทของสังคม จากศักยภาพในการชี้นำทางความคิด รวมถึงอำนาจในการชักจูงใจประชาชนในหลากหลายด้าน จนหลายครั้งที่ปัญหาความขัดแย้งและความวุ่นวายส่วนหนึ่งก็เกิดจากสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างรวดเร็วในรูปแบบของโซเชียลมีเดีย
“แม้ว่าเจ้าของธุรกิจสื่อจะปฏิเสธผลประโยชน์ทับซ้อนทางการเมือง แต่เชื่อเถอะว่าธุรกิจสื่อทั่วโลกผูกติดอยู่กับขั้วอำนาจและสถานการณ์การเมืองอยู่เสมอ แม้ว่าการหลีกเลี่ยงประเด็นการเมืองจะเป็นเรื่องดีของธุรกิจสื่อ ทว่าหลายครั้งที่อำนาจทางการเมืองมีผลต่อรายได้และแนวโน้มการเติบโตในองค์กรสื่อสารมวลชน” โลเปซ ในฐานะหัวเรือใหญ่ของ ABS-CBN ได้สะท้อนมุมมองต่อวงการสื่อออกมา
ปัจจุบัน โลเปซ เป็นคุณพ่อของลูกๆ ทั้ง 8 คน และเป็นคุณปู่ คุณตาของหลานๆ อีกทั้งหมด 26 คน ในจำนวนนี้อาจจะมีใครสักคนที่ได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นมาทำหน้าที่กุมบังเหียนธุรกิจของครอบครัวต่อ
สำหรับ ตระกูลโลเปซ นับเป็นหนึ่งในชนชั้นนำที่ดูแลธุรกิจยักษ์ใหญ่หลากหลายด้านของประเทศฟิลิปปินส์ ในรอบ 200 ปีที่ผ่านมา มีการส่งไม้ต่อความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่น สร้างความแข็งแกร่งให้กับกิจการครอบครัวที่มีอิทธิพลต่อประชากรจำนวนมากในฟิลิปปินส์ อาทิ ด้านพลังงาน ไฟฟ้า อสังหาริมทรัพย์ สื่อมวลชน โครงสร้างพื้นฐานและการศึกษา อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจสายการบินเป็นรายแรกของฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ตาม ตระกูลโลเปซยังไม่ลืมที่จะคืนกำไรให้สังคมผ่านโครงการซีเอสอาร์อย่างการส่งเสริมการศึกษาและสร้างโรงเรียนในชนบท รวมถึงการสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่เก็บรวบรวมหนังสือ 1.7 หมื่นเล่ม ตลอดจนผลงานศิลปะและประติมากรรมชั้นสูงอีกหลายพันชิ้น อีกทั้งนายออสการ์ได้ส่งไม้ต่อให้กับลูกหลานสานต่อความตั้งใจของตระกูลให้ดูแลบริษัทการกุศลของครอบครัวอย่าง Fisrt Philippine Conservation Inc (FCPI) เพื่อสนับสนุนโครงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทั้งการเชื่อมต่อไฟฟ้าให้เข้าถึงชุมชนในชนบทกว่า 5 แสนครัวเรือน ควบคู่ไปกับการให้ทุนเรียนฟรีและสวัสดิการด้านเจ็บป่วยแก่เยาวชนฟิลิปปินส์หลายแสนคน
แต่ทั้งนี้การขยายธุรกิจของตระกูลโลเปซในอนาคตยังคงเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากจำนวนทายาทรุ่นหลานที่มีมากกว่า 26 คน จนมีผู้หวังดีเป็นห่วงเรื่องความขัดแย้งในการจัดสรรรายได้ในตระกูล ตลอดจนเอกภาพทางธุรกิจที่จะเกิดความสั่นคลอนจากผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากในตระกูล จนนำไปสู่การแบ่งพรรคพวกเพื่อเข้ากุมผลประโยชน์ส่วนใหญ่ทางธุรกิจ


