ส่งสินค้าเก็บคลังต่างประเทศอาจต้องเสียภาษี
อย่างที่ทราบกันว่าวัตถุประสงค์หลักของการรวมตัวของสมาชิกอาเซียน คือการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
โดย...เบญจมาศ กุลกัตติมาส เคพีเอ็มจี ประเทศไทย
อย่างที่ทราบกันว่าวัตถุประสงค์หลักของการรวมตัวของสมาชิกอาเซียน คือการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดการนำเข้าและส่งออกระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนอย่างเสรี ทำให้ตลาดการค้าเปิดกว้างขึ้น รวมถึงทำให้เกิดการพิจารณาเปลี่ยนแปลงระบบ Supply Chain เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าโดยใช้สิทธิประโยชน์จากการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
มาตรการทางด้านภาษีของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมุ่งเน้นไปในเรื่องของการยกเลิกภาษีศุลกากร ซึ่งเป็นภาษีที่เกี่ยวข้องโดยตรงเมื่อมีการเคลื่อนย้ายสินค้าจากประเทศสมาชิกหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง แต่ภาษีอากรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนอกจากภาษีศุลกากร อันได้แก่ ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การจัดเก็บของกรมสรรพากรนั้น ยังคงเป็นไปตามกฎหมายภาษีของแต่ละประเทศสมาชิก ซึ่งส่วนหนึ่งก็กลายมาเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อใช้แย่งฐานลูกค้ากัน
แน่นอนว่าเรื่องความรวดเร็วในการส่งวัตถุดิบหรือสินค้าให้ถึงมือผู้ซื้อภายในเวลาที่กำหนดก็เป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้บริษัทหลายแห่งที่มีการส่งออกสินค้าไปให้ลูกค้าในต่างประเทศมักจะเช่าคลังสินค้าในต่างประเทศและส่งสินค้าของตนจากประเทศไทยออกไปจัดเก็บไว้ที่คลังสินค้า เพื่อรอส่งขายให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะยังไม่ปรากฏธุรกรรมการขายและกรรมสิทธิ์ในสินค้ายังเป็นของบริษัทอยู่ แต่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
อย่างไรก็ดี ตามประมวลรัษฎากรไทย กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดส่งสินค้าออกไปต่างประเทศ ให้ถือว่าเป็นการขายในประเทศไทยด้วย และให้ถือราคาสินค้าตามราคาตลาดในวันที่ส่งไปเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งไป แม้ว่าจะยังไม่มีการขายและกรรมสิทธิ์ในสินค้าจะยังคงเป็นของบริษัทไทยอยู่ก็ตาม ยกเว้น 4 กรณี คือ 1.เป็นของที่ส่งไปเป็นตัวอย่างหรือเพื่อการวิจัยโดยเฉพาะ 2.เป็นของผ่านแดน 3.เป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร แล้วส่งกลับออกไปให้ผู้ส่งเข้ามาภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่สินค้านั้นเข้ามาในราชอาณาจักร 4.เป็นของที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรแล้วส่งกลับคืนเข้ามาให้ผู้ส่งในราชอาณาจักรภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่ส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (อ้างอิงมาตรา 70 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร)
ดังนั้น ในการตรวจสอบภาษีของกรมสรรพากร หากบริษัทมีการส่งสินค้าเป็นประจำ กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบขอข้อมูลการส่งสินค้าของบริษัทจากกรมศุลกากรได้โดยตรง ซึ่งกรมสรรพากรจะใช้ข้อมูลส่งออกสินค้าจากฐานข้อมูลของกรมศุลกากรมาเปรียบเทียบกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ หากพบว่าข้อมูลไม่ตรงกัน กรมสรรพากรอาจประเมินรายรับเพิ่ม โดยถือว่าบริษัทแสดงรายรับขาดไป ทำให้มีภาระภาษีเงินได้เพิ่มเติม พร้อมทั้งค่าปรับเงินเพิ่ม ฉะนั้นบริษัทที่มีการส่งออกสินค้าที่เข้าข่ายไม่ถือว่าเป็นการขายในประเทศไทย ควรจะมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้
นอกจากนี้ ต้องพิจารณาภาระภาษีในประเทศที่คลังสินค้าตั้งอยู่ว่าจะทำให้มีภาระภาษีใดๆ เพิ่มหรือไม่ เนื่องจากการมีคลังสินค้าในต่างประเทศอาจถือเป็นการประกอบกิจการในประเทศนั้นผ่านทางสาขา อันมีผล
ให้ต้องเสียภาษีภายใต้กฎหมายของประเทศนั้นๆ ด้วย จึงต้องศึกษาและเข้าใจภาษีอากรของแต่ละประเทศที่จะเข้าไปประกอบกิจการ


