ดันไทยฮับความงามเอเชีย ชี้ลดภาษี0%ป่วนเอสเอ็มอี
การผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือสกินแคร์ของไทย เป็นที่โด่งดังกระทั่งติดอันดับ 12 ของโลกด้านการส่งออก
โดย ....รัชนีย์ ศรีวัฒนชัย
การผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือสกินแคร์ของไทย เป็นที่โด่งดังกระทั่งติดอันดับ 12 ของโลกด้านการส่งออก และในกลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นผมยังรั้งอันดับหนึ่ง สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย จึงมองว่าไทยมีศักยภาพจะก้าวเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องสำอาง สกินแคร์ และอาหารเสริมในภูมิภาคเอเชีย
เกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมความงามของไทยในปัจจุบันมีโรงงานที่สามารถเป็นแหล่งผลิตเครื่องสำอาง สกินแคร์ และอาหารเสริมร่วม 7,000 แห่ง สูงที่สุดในอาเซียน อีกทั้งไทยยังมีความพร้อมทางด้านการพัฒนานวัตกรรม การใช้เทคโนโลยีทันสมัย โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและสมุนไพร ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้ประกอบการไทยจำนวน 1,000-2,000 ราย มีศักยภาพสูงมากและยังผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ดังระดับโลกหลายยี่ห้ออยู่แล้ว
ทั้งนี้ ความได้เปรียบสำหรับการผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคเอเชีย เมื่อเทียบกับอินโดนีเซียโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ความงามราว 1,000-2,000 แห่ง เพราะไทยมีแหล่งวัตถุดิบจากธรรมชาติหลายชนิด อาทิ พืชสมุนไพร อย่างไรก็ตามมองว่ารัฐบาลต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำสมุนไพรมาประยุกต์ใช้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการให้ความสำคัญทางด้านนวัตกรรมสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเหตุผลการผลักดันสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตนั้น มองว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามเป็นสินค้าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อย ด้วยพฤติกรรมผู้หญิงทั่วโลกไม่ยอมหยุดสวย
อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างภาษีเครื่องสำอางจาก 5% เหลือเป็น 0% ซึ่งกระทรวงการคลังทดลองใช้นำแนวทางดังกล่าวเดือน ม.ค. 2560 ในระยะ 3 สัปดาห์ โดยเป็นข้อเสนอของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมาคมศูนย์การค้าไทยเชื่อว่าหากรัฐมีแนวทางชัดเจนลดภาษีเหลือ 0% ถาวร จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจเครื่องสำอางสกินแคร์ภายในประเทศมูลค่ากว่า 1.73 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ดำเนินธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือเอสเอ็มอี 90% ค่อยๆ หายไปจากตลาด ส่วนมูลค่าตลาดใน
ปีนี้คาดว่าจะปิด 1.85 แสนล้านบาท คาดไม่ได้ตามเป้าหมาย เพราะราคาสินค้าแบรนด์เนมกับไทยมีความแตกต่างไม่มากนัก จากการที่ผู้บริโภครอให้มีการจัดงานต้นปี
นอกจากนี้ สินค้านำเข้ายังทะลักเข้าในไทย 1 ปี จะเพิ่มสัดส่วนจาก 30% ในปีนี้เป็น 40-50% จากเมื่อปี 2558 สินค้านำเข้ามีมูลค่ากว่า 2-3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากอเมริกา ยุโรป ขณะเดียวกันไทยยังสูญเสียโอกาสทางด้านการลงทุนเกิดการโยกย้ายฐานการผลิต เนื่องจากปัจจุบันสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องสำอางและสกินแคร์ พร้อมกับส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก จากตัวเลขการส่งออกปีนี้คาดการณ์ว่ามูลค่ากว่า 1.05 แสนล้านบาท ต้องนับว่าเครื่องสำอางเป็นหนึ่งอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี
“สมาคมได้ยื่นหนังสือต่อสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ทบทวนเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีเครื่องสำอางเหลือ 0% เพราะโอกาสที่ไทยจะเสียดุลการค้ามีมากกว่าเพิ่มดุลการค้า นอกจากนี้เอสเอ็มอีจดทะเบียนกับสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วม 7,000 ราย ยังไม่มีความพร้อมหากแบรนด์เนมเข้ามา โดยเฉพาะการสร้างแบรนด์และบรรจุภัณฑ์ ส่วนนวัตกรรมมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับเกาหลีและยังน้อยกว่าญี่ปุ่น และประการสุดท้ายการปรับลดภาษีเครื่องสำอางจะส่งผลให้ตลาดเครื่องสำอางไทยเติบโตช้าลง จาก 9 เดือนที่ผ่านมาข้อมูลยูโรมอนิเตอร์โต 5% และคาดว่าตลาดไทยมีศักยภาพโตได้ถึง 7%” เกศมณี กล่าว
สุทธิศักดิิ์ วิลานันท์ รองกรรมการผู้จัดการ รี้ด เทรดเด็กซ์ ผู้ดำเนินธุรกิจจัดงานแสดงสินค้า กล่าวว่า การจัดงานคอสเม็กซ์ 2016 งานแสดงเทคโนโลยีด้านการผลิต บรรจุภัณฑ์ การบริการด้านการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ เพื่อแสดงศักยภาพอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สกินแคร์ มีโซลูชั่นการบริการครอบคลุมหลากหลาย พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์การผลิตเครื่องสำอางในเอเชีย ขณะเดียวกันบริษัทยังได้จัดงานอิน-คอสเมติกส์ เอเชีย ซึ่งเป็นงานแสดงด้านส่วนประกอบเครื่องสำอางชั้นนำของเอเชีย คาดว่ามีผู้เข้าร่วมงานกว่า 6,000 ราย
หากไทยจะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าเพื่อความงามในเอเชีย ต้องนำเสนอโซลูชั่นให้ครอบคลุมการให้บริการ ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องส่งเสริมผู้ประกอบการมากขึ้น รวมทั้งพิจารณาถึงการปรับโครงสร้างภาษีเครื่องสำอางเหลือ 0% จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมความงามทั้งในและส่งออกมูลค่ากว่า 2.8 แสนล้านบาท และเป็นก้างชิ้นใหญ่สำหรับเส้นทางสู่การเป็นฮับผลิตสินค้าความงามเอเชียในอนาคตหรือไม่


