พาณิชย์สั่งผู้ผลิตแจงปรับขึ้นราคาน้ำอัดลมชนิดขวดแก้ว

"พาณิชย์" สั่งผู้ผลิตชี้แจงการปรับขึ้นราคาน้ำอัดลมชนิดขวดแก้วจาก 10 บาท เป็น 12 บาท ขณะที่ไทยน้ำทิพย์ระบุเหตุต้นทุนปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง

น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลม “โค้ก” ปรับขึ้นราคาจำหน่ายน้ำอัดลมชนิดขวดแก้วขนาด 250 มิลลิลิตร จาก 10 บาทเป็น 12 บาท ว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในไปตรวจสอบเหตุผลการปรับขึ้นราคาของผู้ผลิตแล้วว่ามาจากสาเหตุอะไร เพราะน้ำอัดลม แม้ว่าจะเป็นสินค้าในการติดตามดูแล และการปรับขึ้นราคาให้ทำเพียงแค่การแจ้งการปรับราคาเข้ามาก่อนเท่านั้น แต่ต้องยอมรับว่าสินค้าน้ำอัดลม เป็นสินค้าที่คนบริโภคเป็นจำนวนมาก จึงต้องดูเหตุผลก่อนที่จะปรับขึ้นราคา

“ยังตอบไม่ได้ว่าจะให้ขึ้นหรือไม่ให้ขึ้น ต้องดูเหตุผลก่อน ดังนั้นแม้ว่าจะมีการปรับขึ้นราคาไปแล้ว ก็อยากจะบอกว่า ขึ้นได้ ก็ต้องลงได้ หากไม่มีเหตุผลของการปรับราคาที่เพียงพอ”น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ กล่าว

นายสมศักดิ์ เกียรติชัยลักษณ์ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมได้ขอให้ผู้ผลิตแจ้งเหตุผลการปรับขึ้นราคามายังกรมแล้ว โดยขอให้ชี้แจงเหตุผลของการปรับขึ้นราคาในครั้งนี้ ถ้าอธิบายเหตุผลไม่ได้ ก็ไม่มีเหตุอันควรที่จะต้องปรับขึ้นราคา ซึ่งขณะนี้ทราบว่าทางผู้ผลิตกำลังนำเรื่องไปหารือกับผู้บริหาร และนัดหมายที่จะแจ้งกลับมายังกรม ไม่น่าจะเกินสัปดาห์หน้าจะได้คำตอบ

ทั้งนี้ น้ำอัดลมเป็นหนึ่งในสินค้าที่กรมติดตามดูแล 205 รายการ และมีหลักเกณฑ์ในการปรับขึ้นราคา คือ ผู้ผลิตจะต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 15  วัน และกรมจะมีการพิจารณาราคาที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับต้นทุน หากไม่มีเหตุผลที่สมควร ก็จะไม่พิจารณาให้มีการปรับขึ้นราคาจำหน่าย

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิต “โค้ก” ได้ทำหนังสือชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า บริษัทได้ให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายในเป็นอย่างดีในการตรึงราคาผลิตภัณฑ์มาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา โดยปรับราคาครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2549  แต่จากการแบกรับต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงตัดสินใจปรับราคาเฉพาะเครื่องดื่มอัดลมแบบขวดแก้ว ขนาด 250 มล. จาก 10 บาท เป็น 12 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2559 เป็นต้นมา มิได้เพิ่งปรับขึ้นในช่วงนี้แต่อย่างใด และเป็นการปรับราคาเพียงขนาดบรรจุภัณฑ์เดียว ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 4% ของยอดขายทั้งหมด อีกทั้งขนาดบรรจุภัณฑ์นี้ส่วนใหญ่จำหน่ายอยู่ในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) ซึ่งเป็นตลาดที่มีทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคหลากหลายอยู่แล้ว